วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ซุม ซวา กุม...พระตะบอง



ในอดีตที่ผ่านมามีคนเคยบอกว่า  ถ้าอยากดูเมืองปราจีนบุรีในอดีตให้ไปดูที่เมืองพระตะบองในประเทศกัมพูชา เพราะทั้งสองเมืองนี้เปรียบเสมือนกับเมืองคู่แฝดกันมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกันโดยเฉพาะวัดวาอารามรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างตลอดจนวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกันกับไทยเพราะในอดีตที่ผ่านมาเมืองพระตะบองแห่งนี้เคยตกอยู่ในการปกครองของไทยแต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่2สิ้นสุดลงประเทศไทยต้องคืนเมืองพระตะบองให้กับกัมพูชาและตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเมืองพระตะบองก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกัมพูชามาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้เมืองพระตะบองเมืองใหญ่อันดับ3ของประเทศกัมพูชาตั้งอยู่ห่างจากชายแดนไทยระยะทางประมาณ130กิโลเมตรทางด้านอำเภออรัญประเทศในจังหวัดสระแก้วและระยะทาง100กิโลเมตรทางด้านอำเภอโป่งน้ำร้อนจังหวัดจันทบุรี 

มาดูสถานที่น่าสนในพระตะบองกันเลยยยย...


  วัดช้างเผือก(วัดดำเริยซอ)  เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีความเก่าแก่มากแห่งหนึ่ง ของเมืองพระตะบอง โดยวัดแห่งนี้เป็นวัดในตระกูลอภัยภูเบศร มีร่องรอยที่เห็นมีตราสัญลักษณ์เหนือกรอบประตูด้านหน้าและหลังพระอุโบสถ ตรานั้นเป็นตราแผ่นดิน รัชกาลที่ 5 แห่งพระราชอาณาจักรสยาม 
          


            

ขอบคุณภาพจาก : travel.thaiza.com

ศาลากลาง :  เป็นอีกหนึ่งอาคารที่มีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็น อาคารต้นแบบที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศรสมุหเทศาภิบาลมณฑลบูรพาได้นำมาสร้างเป็นศาลากลางจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อครั้งอพยพครอบครัวไปตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัด ปราจีนบุรี หลังจากที่สยามประเทศเสียดินแดนพระตะบองและเสียมราชให้กับฝรั่งเศสไปแล้ว
               


                                                         ขอบคุณภาพจาก : www.indochinaexplorer.com

ปราสาทบานอน หรือวัดบานอน : สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1000 กว่าๆ เป็นสถาปัตยกรรมของศตวรรษที่ 11 กลางและจุดสิ้นสุดของศตวรรษที่ 12 การสร้างวัดบานอนถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าชัยวรมัน 1 โดยประสาทบานอนมีหินในการสร้างปราสาทบนภูเขา ตัวปราสาทยังคงสมบูรณ์ มีลวดลายการแกะสลักนางอัปสรที่บนตัวปราสาท ปัจจุบัน เป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง
        


ขอบคุณภาพจาก : khmeradvisor.com

                  
ขอบคุณภาพจาก : www.dooasia.com


ไร่องุ่น : เป็นไร่องุ่นพันธุ์ต่างประเทศและมีโรงงานผลิตไวน์ซึ่งเป็นไวน์ที่มีคุณภาพเยี่ยมและราคาถูก หลังจากนั้นยังสามารถแวะหมู่บ้านปลาร้า ที่ทำมาจากปลาน้ำจืดจากแม่น้ำสังเก แม่น้ำสังเกเป็นแม่น้ำที่ไหลไปทะเลสาบเขมรจึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลาหลากหลายชนิด จนกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของพระตะบอง
 

ขอบคุณภาพจาก : www.js100.com

ขอบคุณภาพจาก : www.manager.co.th
ขอบคุณภาพจาก www.vcharkarn.com

ปราสาทเอกพนม : ปราสาทเอกพนมสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระนครซึ่งมีอายุพันกว่าปีมาแล้ว ซึ่งปัจจุบันปราสาทเอกพนมยังมีสภาพท่สมบูรณ์ และภาพแกะสลักยังมีคงความคมชัดอยู่

อนุสาวรีย์พญาตะบองขยุง : เป็นรูปปั้นพญาตะบองขยุงถือกระบอง ซึ่งปัจจุบันอนุสาวรีย์แห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองพระตะบอง


ขอบคุณรูปภาพจาก : chaitour.co.th


ขอบคุณภาพจาก : blog.tawanyimchang.com
Bamboo Train : พบกับประสบการณ์ใหม่ๆ รถไฟไม้ไผ่ กลางทุ่งชนบทอันสวยงามเปี่ยมล้นด้วยธรรมชาติแห่งจังหวัดพระตะบอง ซึ่งมีความเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเที่ยวในเมืองพระตะบองแห่งนี้ จนมีคำว่า หากมาเมืองพระตะบองแล้วไม่ได้นั่งรถไฟไม้ไผ่เหมือนกับมาไม่ถึง
               

ขอบคุณภาพจาก : www.bloggang.com

ขอบคุณภาพจาก : www.indochinaexplorer.com


วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ท่องแดนอารยธรรม..สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกตะวันออก

เสียมเรียบ หรืิอ เสียมราฐ เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศกัมพูชา ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ อยู่ริมฝั่งทะเลสาบเขมร เสียมราฐ เป็นที่ตั้งของนครวัด และกลุ่มปราสาทหินหลายแห่ง อาทิ หมู่ปราสาทหินจากอาณาจักรขอม ได้แก่ ปราสาทนครวัด, กลุ่มปราสาทนครธม, (ตาพรหม และบายน, บันทายศรี, บากอง, โลเลย, พนมบาเค็ง, พนมกุเลน และ บารายตะวันตก
ขอบคุณภาพจาก : www.aseanthai.net
โตนเลสาป : เป็นทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียซึ่งเกิดจากแม่น้ำโขง ซึ่งมีแม่น้ำโขงไหลผ่านยาว 500กิโลเมตร และเชื่อกันว่าปลาบึกซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดว่ายทวนน้ำจากโตนเลสาปขึ้นสู่ประเทศ ไทย-ลาวเพื่อไปผสมพันธุ์ที่จีนซึ่งเป็นต้นแม่น้ำโขง กิจกรรมที่สามารถทำได้ก็มี การล่องเรือชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประมง
ขอบคุณภาพจาก : th.wikipedia.org
ขอบคุณภาพจาก : travel.thaiza.com

เมืองนครธม  นครธม เป็นเมืองพระนครที่มีปราสาทและพระราชวังต่าง ๆ มากมาย อีกทั้งยังมีประติมากรรมงดงามแปลกตานับไม่ถ้วน โดยมีจุดสำคัญที่น่าสนใจหลายจุด เช่น ประตูด้านทิศใต้ของเมือง ที่มีรูปประติมากรรมลอยตัวของเทวดาและอสูรฉุดนาคเพื่อกวนเกษียรสมุทร, พระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่มีใบหน้าและรอยยิ้มแบบบายนอันน่าพิศวง, กรอบประตูที่มีประติมากรรมลอยตัวพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ 3 เศียร ที่น่าเกรงขาม, ปราสาทบายน ที่ถูกสร้างด้วยการนำหินมาวางซ้อนเป็นรูปร่างเป็นปราสาท โดยมีแต่ใบหน้าคนอยู่ทั่วไปหมด จนเกิดความน่าเกรงขามปนลี้ลับอย่างน่าสนใจ
นครธม

นครธม
นครธม
ขอบคุณภาพจาก : travel.kapook.com
ปราสาทนครวัด : มหาปราสาทนครวัด หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในรอบพันปี ภายในสามารถชมภาพแกะสลักหินทราย นูนต่ำที่ระเบียงคตทั้ง 4 ด้าน ซึ่งแกะสลักเป็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย เช่น การยกทัพของชาวขอม , ภาพการกวนเกษียรสมุทร , ภาพมหากาพย์รามนณะ และยังมีภาพแกะสลักของนาอัปสรกว่า 1,260 นาง
ขอบคุณภาพจาก : www.attachephanompenh.navy.mi.th

ขอบคุณภาพจาก :www.varietyholiday.com

ขอบคุณภาพจาก :www.cmprice.com
สีหนุวิลล์  แต่เดิมเมือง ท่าแห่งนี้รู้จักกันในนาม "เมืองกัมปงโสม" ถือเป็นเมืองตากอากาศชายทะเลอันดับหนึ่งของกัมพูชา และยัง เป็นเมืองท่าสำคัญ โดยมีท่าเรือน้ำลึกระดับสากล แห่งเดียวของกัมพูชาอีก สีหนุวิลล์ เป็นเมืองที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีศักยภาพทางด้านการท่องเที่ยวสูง ประกอบด้วย ชายหาดหลักๆ ประมาณ 5 แห่งด้วยกัน อาทิ หาด Sokha ( Sokha Beach ) หาดโอจือเตียล (Occheuteal) และ Independence Beach ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ระบุว่า เมืองสีหนุ วิลล์ ติดอันดับ 8 ในการจัดอันดับ 10 สุดยอดหาดในเอเชีย โดยหนังสือพิมพ์ Sunday Herald Sun ของ ประเทศออสเตรเลีย     
ขอบคุณภาพจาก : travel.mthai.com

ขอบคุณภาพจาก : www.hotsia.com

ขอบคุณภาพจาก : travel.thaiza.com
ขอบคุณภาพจาก : www.manager.co.th
ตลาดซาจ๊ะ : ตลาดซาจ๊ะ เป็นตลาดในเมืองเสียมเรียบ ขายสินค้าเกือบทุกประเภท ตั้งแต่เครื่องครัว ของชำ ของไช้ ไปจนถึงของฝากนานาชนิด เรียกว่ามาที่นี่ที่เดียวได้สินค้าครบทุกอย่าง ราคาไม่แพง อยู่ที่เราต่อรองกับพ่อค้าแม่ขาย บางร้านพูดไทยได้บ้าง บางร้านภาษาอังกฤษ เงินรับเงินเรียลและเงินดอล 
ขอบคุณภาพจาก : www.indochinaexplorer.com

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ชวนเที่ยวเสียมเรีบ...

เมื่อปัญหาการเมืองเรี่องของผลประโยชน์ระหว่างไทย -กัมพูชาที่เคยตึงเครียดกันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นรัฐบาลทั้งสองประเทศหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยปรึกษาหารือกันเป็นผลให้บรรยากาศการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างสอง ประเทศเริ่มดีขึ้นตามลำดับ



ประกอบ กับในปีพ.ศ.2558 จะเป็นปีที่ประเทศต่างๆ10ประเทศในภูมิภาคอาเชียนก้าวเข้าสู่การเป็น ประชาคมอาเชียนซึ่งจะมีผลทำให้เศรษฐกิจต่างๆในประเทศอาเซียนขยายตัวเพิ่มมาก ยิ่งขึ้นซึ่งรวมทั้งการเติบโตในเรื่องของการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเชีย นด้วย


และ ด้วยสาเหตุนี้เองพวกเราจึงมิได้นิ่งนอนใจ ขอขันอาสาพาท่านผู้อ่านเดินทางไปเปิดมุมมองใหม่ๆต้อนรับการเป็นประชาคมอา เชียนเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศกัมพูชาเพื่อนบ้านในอาเซียนที่มีพรมแดน ใกล้ชิดติดกัน(แต่ชอบทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ)


เพื่อ เปิดมุมมองใหม่ของเมืองเสียมราฐหรือเสียมเรียบ “ดินแดนแห่งศิลานคร” อันเป็นที่ตั้งของมหาปราสาทนครวัด -นครทมอันยิ่งใหญ่จนติดอันดับสิ่งมหัศจรรย์1ใน7 ของโลกที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝันที่จะเดินทางมาเห็นด้วยตาของตนเองสัก ครั้งหนึ่งในชีวิต และนอกจากมหาปราสาทนครวัด-นครทมอันยิ่งใหญ่แล้วภายในเมืองเสียมราฐหรือ เสียมเรียบยังมีแหล่งท่องเที่ยวอะไรที่น่าสนใจและน่าท่องเที่ยวบ้าง


พวกเราจึงขออาสาพาท่านผู้อ่านเดินทางไปท่องเที่ยวยังเมืองเสียมราฐหรือเสียมเรียบในแบบเจาะลึกกันครับ.

 ....ซัวซะเดย กัมปูเจีย .....

แผนที่การเดินทาง

เที่ยวเมืองเสียมเรียบ
วันแรกของการเดินทาง
 สวนลุมพินี
04.30น. พวกเรานัดพบกันที่จุดนัดพบบริเวณป้ายรถเมล์ข้างสวนลุมพินีตรงข้ามตึกอื้อจื้อเหลียงเพื่อขึ้นรถโดยสารของของบ่อนคาสิโนในฝั่งปอยเปตเพื่อเดินทางไปยังอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ระยะทางห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 270 กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงเศษๆ สำหรับสาหตุที่พวกเราใช้บริการรถโดยสารของบ่อนคาสิโนไม่ใช่พวกเราจะพาท่านผู้อ่านไปเล่นคาสิโนกันที่ด่านปอยเปตน่ะครับอย่าเข้าใจผิดแต่พวกเราจะพาท่านผู้อ่านเดินทางไปท่องเที่ยวยังเมืองเสียมราฐหรือเมืองเสียมเรียบดินแดนแห่งศิลานครระยะทางห่างจากรุงเทพประมาณ 420กม.                  

สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์จะเดินทางไปท่องเที่ยวยังเมืองเสียมเรียบในประเทศกัมพูชาหรือเดินทางไปช้อบปิ้งยังตลาดโรงเกลือสามารถมาใช้บริการได้นะครับเพราะเดินทางรวดเร็วทันใจดี ไม่จอดแวะรับส่งผู้โดยสารเรี่ยราดกระปริกระปอยระหว่างทางเหมือนรถโดยสารทั่วไปครับ สำหรับราคาค่าโดยสารคนละ 200 บาท ผมไม่ได้ค่าโฆษณานะครับท่านผู้อ่านอย่าเข้าใจผิด เพียงแต่ผมอยากจะแนะนำการเดินทางที่ดีกว่าและถูกกว่าให้กับท่านผู้อ่านเท่านั้นเองครับ รถทัวร์โดยสารของบ่อนคาสิโนเที่ยวแรกจะออกเดินทางเวลา 04.00 น. ส่วนเที่ยวต่อๆไปออก2-3ชั่วโมงต่อคันครับ มีให้ใช้บริการตลอดทั้งวันทั้งขาไปและขากลับครับสำหรับรายละเอียดเวลารถเดินทางกลับกรุงเทพฯสามารถติดต่อสอบถามคนขับรถหรือเด็กรถได้เลยครับ


สำหรับผู้ใช้บริการรถโดยสารของบ่อนคาสิโนส่วนใหญ่จะเป็นบรรดานักเสี่ยงโชคขาประจำรายวันหน้าเดิมๆ และนักเสี่ยงโชคหน้าใหม่ที่ชอบการเสี่ยงโชคเป็นชีวิตจิตใจมาใช้บริการรถโดยสารของบ่อนคาสิโนเดินทางไปเสี่ยงโชคเป็นประจำทุกวันครับ และเมื่อถึงเวลา 04.00 น.รถทัวร์โดยสารของบ่อนคาสิโนก็เริ่มต้นออกเดินทางมุ่งหน้าสู่อำเภออรัญประเทศจังหวัดสระแก้วในทันที
โดยใช้ถนนสายบางนา - ตราด ออกชลบุรีสายใหม่ มอเตอร์เวย์


เข้าสู่จังหวัดฉะเชิงเทราจากนั้นก็ขับไปตามถนนหมายเลข 304 ถึงเขาหินซ้อนเข้าสู่อำเภอกบินทร์บุรีในจังหวักปราจีนบุรี


จากนั้นจึงเลี้ยวขวาเข้าสู่ตัวเมืองสระแก้วมุ่งหน้าสู่อำเภออรัญประเทศ


เวลา 08.00 น. พวกเราก็เดินทางมาถึงยังตลาดโรงเกลือ


ซึ่งกำลังคับคั่งไปด้วยพ่อค้าแม่ขายชาวกัมพูชาที่ต่างๆเดินเท้าทั้งลากทั้งเข็นลำเลียงสินค้าข้ามสะพานคลองลึกจากฝั่งปอยเปตประเทศกัมพูชาเข้ามาค้าขายกันที่ตลาดโรงเกลือบางคนก็เดินทางเข้ามารับจ้างแรงงานยังฝั่งไทย


ส่วนทางฝั่งไทยก็เรียงรายไปด้วยรถบรรทุกสินค้าซึ่งอยู่สองข้างถนนเพื่อรอขนสินค้าเข้าไปยังกัมพูชาซึ่งเป็นภาพที่เห็นได้เป็นประจำทุกวันในเวลาเช้าที่ด่านข้ามแดนคลองลึกในอำเภออรัญประเทศแห่งนี้ครับ


หลังจากล้างหน้าล้างตากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนที่จะเดินทางเข้าไปยังด่านปอยเปตสู่เมืองเสียมเรียบ เรามาหาอาหารเช้าในตลาดเช้าอำเภออรัญประเทศรับประทานกันก่อนดีกว่าครับ


สำหรับอาหารเช้าของพวกเราในมื้อนี้คือบั๊นกั๊นหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้าวต้มเวียตนาม ที่ร้านเจ๊เตียงในตลาดอำเภออรัญประเทศ


ร้านเจ๊เตียงแห่งนี้เจ้าของร้านเป็นคนไทยเชื้อสายเวียตนามแต่เกิดที่เมืองไทยบรรพบุรุษอพยพหนีภัยสงครามมาอาศัยอยู่ในเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาจากนั้นออกลูกออกหลานจนกลายมาเป็นเจ๊เตียง ปัจจุบันเจ๊เตียงได้สัญชาติเป็นคนไทยเรียบร้อยแล้วครับ แม้วันเวลาจะล่วงเลยผ่านมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วก็ตามแต่ชาวไทยเชื้อสายเวียตนามทุกคนก็ยังระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย ที่ทรงให้ชาวไทยเชื้อสายเวียตนามพลัดถิ่นที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นเหล่านี้ได้อาศัยทำมาหากินอยู่บนแผ่นดินไทยอย่างมีความสุขมาจนตราบเท่าทุกวันนี้


 แต่ถึงอย่างไรทุกคนก็ยังไม่ลืมผืนแผ่นดินแม่แทบทุกบ้านจะมีรูปของลุงโฮจิมินห์วีรบุรุษผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวเวียตนามทั้งประเทศติดอยู่บนฝาผนังภายในร้านอีกด้วยครับ


เราสองคนสั่งบั๊นกั๊นปลา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้าวต้มเวียตนาม ซึ่งมีให้เลือกทั้งปลาและไก่ มารับประทานกันคนละชาม ข้าวต้มเวียตนามเมื่อพวกเราลองกินดูแล้วรสชาติคล้ายกับข้าวต้มไทยแต่จะแตกต่างกันตรงที่ ข้าวต้มเวียตนามจะใส่พวกเครื่องเคียง อาทิเช่น หอมเจียว กระเทียมเจียว ขิงหั่นฝอยและที่แตกต่างจากข้าวต้มไทยอีกอย่างหนึ่งก็คือข้าวต้มเวียตนามจะต้องใส่ถั่วงอก ถ้าไม่ใส่ถั่วงอกแล้วล่ะก็จะไม่อร่อยครับ


ซึ่งพวกเราเห็นด้วยเช่นกันและถ้าจะให้รสชาติของข้าวต้มอร่อยเข้าไปอีกควรฉีกปาท่องโก๋เป็นชิ้นๆใส่ลงไปด้วยเพื่อช่วยเพิ่มความอร่อยครับ    ท่านผู้อ่านที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังตลาดโรงเกลือใน อ.อรัญประเทศแล้วก็แวะมาลองลิ้มชิมรสอาหารเช้าเวียตนามของร้านเจ๊เตียงดูว่าจะอร่อยเหมือนกับที่พวกเราแนะนำหรือเปล่า ร้านเจ๊เตียงตั้งอยู่บริเวณห้องแถวชั้นเดียวเลยปากทางเข้าตลาด อ.อรัญประเทศ มานิดเดียวแต่ถ้ามาไม่ถูกถามคนถีบสามล้อหรือพ่อค้าแม่ค้าหน้าตลาดอรัญประเทศดูก็ได้ครับเขาจะบอกทางไปร้านเจ๊เตียงให้  แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเดินทางไปถึงอรัญประเทศแต่เช้าน่ะครับถ้าไปสายร้านเจ๊เตียงปิดอดกินข้าวต้มเจ๊เตียงด้วยน่ะจะบอกให้
พวกเรารับประทานข้าวต้มเวียตนามด้วยความเอร็ดอร่อยคนละสองชามตบท้ายด้วยกาแฟโบราณแกล้มด้วยปาท่องโก๋ จนอิ่มหนำสำราญกับอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นจึงเรียกเจ๊เตียงมาคิดสตังค์ราคาข้ามต้มชามละ 25 บาทเท่านั้นเองครับ จากนั้นพวกเราจึงออกเดินทางต่อไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองคลองลึกในอ.อรัญประเทศ เพื่อเดินทางข้ามฝั่งไปยังฝั่งปอยเปตในประทศกัมพูชาประตูสู่เมืองเสียมราฐหรือเสียมเรียบอันเป็นที่ตั้งของมหาปราสาทนครวัด-นครธมจุดหมายปลายทางของพวกเราสำหรับการเดินทางในทริปนี้ครับ
บรรยากาศยามเช้าบริเวณด่านคลองลึกกำลังคึกคักไปด้วยเหล่าพ่อค้าแม่ขาย ชาวกัมพูชาต่างก็ทยอยขนสินค้าจากฝั่งกัมพูชาข้ามฝั่งมายังตลาดโรงเกลือทางฝั่งไทย ประกอบกับบรรดานักเสี่ยงโชคชาวไทยที่กำลังเดินทางข้ามฝั่งไปเสี่ยงโชคยังบ่อนคาสิโนต่างๆ ทางฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชาซึ่งเป็นกิจวัตรประจำที่ท่านผู้อ่านสามารถเห็นได้ในยามเช้าที่ด่านตรวจคนเข้า-ออกเมืองคลองลึกแห่งนี้


ปัจจุบันด่านตรวจคนเข้า-ออกเมืองคลองลึกแห่งนี้ได้รับการปรับปรุงสร้างใหม่บรรยากาศจึงแลดูเรียบร้อยสะอาดตาโดยมีซุ้มประตูทางเข้าประเทศไทยเป็นรูปยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ยืนเด่นเป็นสง่าโดยแยกเขี้ยวยิ้มแฉ่งหันหน้าออกไปยังประเทศกัมพูชา

 

หลังจากให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยตรวจสอบหนังสือเดินทางและประทับตราเดินทางออกนอกประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


จากนั้นเราสองคนจึงเดินข้ามสะพานคลองลึกซึ่งเปรียบเสมือนกับเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาให้ออกจากกัน  คลองลึกมีขนาดลำคลองเล็กมากจนผมดูแล้วไม่น่าจะเรียกว่า “คลอง” เลยครับน่าจะเรียกว่า “คู” มากกว่าเพราะมีขนาดความกว้างของคลองแคบมากจริงๆครับไม่เหมือนกับแม่น้ำโขงที่เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับลาวที่มีขนาดความกว้างของแม่น้ำโขงมากกว่าคลองลึกเยอะเลยครับ  ท่านผู้อ่านลองดูคลองลึกซึ่งเป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาที่อำเภออรัญปรระเทศซิครับ
                 ส่วนเมืองปอยเปตที่เราสองคนจะเดินเท้าข้ามต่อจากนี้ไปคือเมืองหน้าด่านเมืองหนึ่งของประเทศกัมพูชามีเขตแดนใกล้ชิดติดกับประเทศไทยและด้วยความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจการค้าประกอบกับเป็นประตูสู่เมืองเสียมเรียบอันเป็นที่ตั้งของมหาปราสาทนครวัดนครธมแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาตร์ที่สำคัญของประเทศกัมพูชาด้วยเหตุนี้เอง

จึงทำให้ปัจจุบันจากตำบลปอยเปตได้รับการจัดตั้งให้เป็นกรุงปอยเปตหรืออำเภอปอยเปตอำเภอหนึ่งในจังหวัดบันเตียเหมียนเจย ประเทศกัมพูชาครับ


จากนั้นเราสองคนจึงแบกเป้เดินเท้าข้ามสะพานคลองลึกมายังด่านตรวจคนเข้าเมืองปอยเปตของประเทศกัมพูชา


ทำการกรอกแบบสอบถามของกัมพูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นจึงยื่นหนังสือเดินทางพร้อมแบบสอบถามให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของกัมพูชาทำการตรวจสอบหนังสือเดินทางและเอกสารที่กรอก ปัจจุบันการเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวยังประเทศกัมพูชาไม่ใช่เป็นเรื่องยุ่งยากเหมือนกับแต่ก่อนแล้วครับ  เพราะในอดีตที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชาวไทยจะต้องทำการขอวีซ่าจากสถานทูตกัมพูชาในกรุงเทพฯ ซึ่งจะต้องชำระค่าวีซ่าคนละ 20 USD ต่อมาประมาณต้นปี พ.ศ. 2554 ทางรัฐบาลไทยและกัมพูชาได้เจรจาตกลงกันที่จะยกเลิกวีซ่าของทั้งสองประเทศเพื่อต้อนรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยนซึ่งจะเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2558นี้    การท่องเที่ยวและการติดต่อค้าขายจะกระทำกันได้โดยสะดวก ซึ่งเป็นผลดีของทั้งสองประเทศครับและเป็นผลดีแก่นักท่องเที่ยวไทยที่ไม่ต้องจ่ายเงินค่าวีซ่าอีก 20 USD อีกต่อไปแล้วครับ        และเมื่อหลักฐานเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของกัมพูชาจึงประทับตราอนุญาติให้เราสองคนเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวยังประเทศกัมพูชาได้เป็นเวลา 30 วัน
      สำหรับท่านผู้อ่านที่รักความสะดวกสบายชอบเดินทางท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์ไม่อยากจะมาท่องเที่ยวแบบลำบากๆอย่างพวกผมอยากจะแนะนำบริษัทอินโดไชน่าเอ็กพลอเร่อร์จำกัดเป็นบริษัทของคนไทยที่เชี่ยวชาญในการทำทัวร์ประเทศในแถบอินโดจีนโดยเฉพาะในประเทศกัมพูชาบริษัทนี้จะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษสนใจอยากจะเดินทางแบบสบายๆลองคลิ๊กเข้าไปเยี่ยมชมบริษัทของเขาได้ที่ http://www.scholidaytour.com/  มีโปรแกรมทัวร์ประเทศแถบอินโดจีนให้ท่านเลือกมากมายหลากหลายโปรแกรมในราคาย่อมเยาครับ


จากนั้นจึงเดินมาขึ้นรถยนต์  Toyota Camry ติดแอร์คอนนิชั่นอย่างดีของคุณ เม้งโชเฟอร์ชาวกัมพูชาซึ่งจอดรอพวกเราอยู่บริเวณที่พักผู้โดยสารอยู่ตรงวงเวียนข้างโรงแรมแกรนด์ไดมอนด์ทางฝั่งปอยเปต


สำหรับรถยนต์โดยสารที่จะเดินทางไปยังเมืองเสียมเรียบท่านผู้อ่านสามารถติดต่อได้ที่คุณ เม้งโชเฟอร์ชาวกัมพูชาประจำด่านปอยเปตแต่พูดไทยได้ชัดเจนแถมพูดภาษาเวียดนามได้อีกด้วยไม่เรื่องมากงอแงกับนักท่องเที่ยวทีมงาน www.idotravellers.com  ขอรับประกันคุณภาพของโชเฟอร์ผู้นี้เพราะใช้บริการอยู่เป็นประจำสำหรับเบอร์ โทรศัพท์ไทยติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ไทยบริเวณด่านปอยเปตหมายเลข  087-1436052  เบอร์โทรศัพท์กัมพูชา (855) 99 989 696,  (855) 12 486 407 หรือที่ e-mail menglimo@live.com ได้ทุกเวลาครับ


สำหรับอัตราค่าบริการรถยนต์  Toyota Camry ติดแอร์คอนนิชั่นอย่างดีพร้อมน้ำมันจากด่านปอยเปต- เสียบเรียบในอัตราค่าบริการ 1,500 บาท ต่อเที่ยว นั่งได้ 4 คนสบายๆหรือถ้านักท่องเที่ยวท่านใดประทับใจในการให้บริการของคุณเม้งสามารถติดต่อขอใช้บริการคุณเม้งพาท่องเที่ยวในจังหวัดเสียมเรียบได้ในราคามิตรภาพครับ
หลังจากที่คณะของเราขึ้นรถ Toyota Camry เป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นคุณเม้งก็พาเราสองคนเดินทางออกจากด่านปอยเปตเดินทางไปตามถนนหมายเลข 5 มุ่งหน้าสู่เมืองเสียมเรียบในทันทีแต่ถ้าเดินทางไปกรุงพนมเปญระยะทางห่างจากกรุงปอเปต407กม.ครับ


รถ Toyota Camry เดินทางออกจากด่านปอยเปตผ่านสถานีขนส่งปอยเปตซึ่งตั้งอยู่ห่างจากด่านปอยเปตระยะทางประมาณ 9 ก.ม


มีรถโดยสารประจำทางเดินทางไปเมืองเสียมเรียบ,พระตะบอง,พนมเปญ ตลอดจนจังหวัดต่างๆในประเทศกัมพูชา


รถ Toyota Camry เดินทางมาสักครู่ใหญ่  จากนั้นคุณ เม้งโชเฟอร์ชาวกัมพูชาของเราก็เริ่มปฎิบัติหน้าที่เล่าเรื่องราวความเป็นมาของถนนสายนี้ให้พวกเราได้ทราบในทันที


สำหรับประวัติความเป็นมาของเส้นทางถนนหมายเลข 5 และ 6 สายปอยเปต - ศรีโสภณ – เสียมเรียบ ซึ่งกว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ใช้เวลานานหลายสิบปีเพราะติดปัญหาทางด้านการเมืองระหว่างสองประเทศ และ พึ่งจะมาเสร็จ เรียบร้อยเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. 2552 มานี้เองครับเราสองคนเคยเดินทางบนเส้นทางหมายเลข 5 และหมายเลข 6 สายนี้เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2542 โดยใช้บริการรถปิคอัพบรรทุกสินค้าเดินทางร่วมกันมากับพวกฝรั่งแบกเป้แถวถนนข้าวสารในอัตราค่าบริการคนละ 200 บาทโดยเราสองคนนั่งบนกะบะหลัง ช่างเป็นการเดินทางที่สุดแสนจะทรมานบันเทิงเริงรมย์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนเส้นทางสายนี้จะเต็มไปด้วยขี้โคลนและหลุมขนาดใหญ่ขนาดควายลงไปนอนเล่นได้สบายๆ ส่วนในช่วงฤดูแล้งจะเต็มไปด้วยขี้ฝุ่น ผิวถนนเป็นหลุมเป็นบ่อคล้ายโลกพระจันทร์ เส้นทางปอยเปต - เสียมเรียบระยะทาง 150 กิโลเมตรในช่วงเวลานั้นใช้เวลาเดินทางนานถึง 6 -8 ชั่วโมงช่างเป็นการเดินทางที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตของการเดินทางทำสารคดีท่องเที่ยวประเทศในแถบอินโดจีนของเราทั้งสองคน แต่ในปัจจุบันนี้ถนนสายนี้ได้รับการพัฒนาปรับปรุงราดยางเป็นอย่างดีโดย บริษัทรับเหมาก่อสร้างจากเมืองไทยมาทำการรับเหมาก่อสร้าง เพื่อการท่องเที่ยวและการค้าของทั้งสองประเทศจะได้เดินทางไปมาหาสู่กันได้โดยสะดวกและรวดเร็ว ยิ่งขึ้นครับและเป็นการต้อนรับประชาคมอาเชี่ยนที่จะเกิดขึ้นในปีพ.ศ2558ด้วยครับ
ปัจจุบันการเดินทางจากด่านปอยเปตสู่จังหวัดเสียบเรียบระยะทาง 150 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 2ชั่วโมงเศษๆเท่านั้นเองครับ
สำหรับ เส้นทางถนนในปัจจุบันที่ท่านผู้อ่านได้เห็นอยู่นี้ถ่ายเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2555 ที่ผ่านมานี้เองครับ


สำหรับโครงการต่อไปคือโครงการสร้างรางรถไฟจากอำเภออรัญประเทศไปเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟที่เมืองศรีโสภณในจังหวัดบันเตียเหมียนเจยซึ่งตั้งอยู่ห่างจากด่านปอยเปตระยะทางประมาณ 48 กิโลเมตรซึ่งการวางรางรถไฟใกล้จะเสร็จแล้วโดยทางรัฐบาลกัมพูชาได้รับเงินทุนช่วยเหลือในการสร้างและวางรางรถไฟจากรัฐบาลมาเลเซีย


และถ้ารัฐบาลทั้งสองประเทศนี้ไม่ทะเลาะกันเสียก่อนนักท่องเที่ยวเช่นเราๆท่านๆคงจะได้มีโอกาสเดินทางโดยทางรถไฟไปท่องเที่ยวยังเมืองพระตะบองและกรุงพนมเปญได้โดยสะดวกสำหรับเส้นทางรถไฟสายนี้ไม่ใช่พึ่งมาสร้างกันในปัจจุบันนี้น่ะครับแต่เส้นทางรถไฟสายนี้สร้างมานานแล้วครับ แต่ที่ถูกยกเลิกการเดินรถไฟไปสาเหตุเพราะความขัดแย้งทางด้านการเมืองระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา ประกอบกับสภาวะสงครามในประเทศกัมพูชาจึงทำให้เส้นทางรถไฟสายนี้ถูกยกเลิกไปโดยปริยายครับ ปัจจุบันเมื่อรัฐบาลทั้งสองประเทศตกลงกันได้สานความสัมพันธ์กันขึ้นมาใหม่จึงหันมาจับมือกันทำการรื้อฟื้นโครงการเส้นทางรถไฟสายนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้ารัฐบาลทั้งสองประเทศไม่ทะเลาะกันอีกโครงการเส้นทางรถไฟสายนี้ก็คงจะดำเนินไปด้วยดีและคงจะสร้างเสร็จภายในปีพ.ศ.2558ประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยนเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมนักเดินทางคงจะได้ใช้เส้นทางนี้กันอย่างสบายครับตลอดจนการขนส่งสินค้าระหว่างสองประเทสคงจะทำได้สะดวกยิ่งขึ้นท่านผู้อ่านอย่าลืมน่ะครับว่าประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้าประเทศกัมพูชาถึงปีละหลายพันล้านบาทฉะนั้นท่านผู้อ่านอย่าเข้าใจผิดคิดว่าเขมรจนน่ะครับปัจจุบันนี้เขมรรวยแล้วน่ะครับทรัพยากรธรรมชาติก็ยังเหลืออยู่อีกมากโดยเฉพาะพลังงานธรรมชาติที่มีอยู่อย่างมากมายในอ่าวไทย


เราใช้เวลาเดินทางเพียง 35 นาทีก็เดินทางมาถึงเมืองศรีโสภณซึ่งตั้งอยู่ห่างจากด่านปอยเปตระยะทางประมาณ 48 กิโลเมตร
สำหรับเมืองศรีโสภณหรือที่ชาวกัมพูชานิยมเรียกกันว่า “สวาย” ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “มะม่วง” ตั้งอยู่ในจังหวัดบันเตียเหมียนเจยซึ่งแปลเป็นไทยว่า “จังหวัดบ้านใต้มีชัย” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตที่ผ่านมาจังหวัดนี้เคยอยู่ในการปกครองของไทยโดยใช้ ชื่อว่า “จังหวัดพิบูลสงคราม” โดยใช้ชื่อตามอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยคือ จอมพลป.พิบูลสงคราม  ซึ่งต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงไทยต้องจำยอมคืนดินแดนแห่งนี้ให้แก่ฝรั่งเศส ปัจจุบันเมืองศรีโสภณแห่งนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกัมพูชา และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่มีชื่อว่า “Meanchey  University”


และนอกจากนี้ยังมีเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อจากด่านปอยเปตไปยังเมืองพระตะบองและกรุงพนมเปญอีกด้วยครับ
                                                   สำหรับอาชีพของประชาชนส่วนใหญ่ในเมืองศรีโสภณประกอบอาชีพทางด้านการเกษตรกรรมโดยปลูกข้าวเป็นอาชีพหลัก รองลงมาก็คืออาชีพเลี้ยงสัตว์ เราเดินทางผ่านวงเวียนใจกลางเมืองศรีโสภณซึ่งสร้างเป็นรูปพระพรหมในท่าประทับยืน


ศาลากลางจังหวัดศรีโสภณ


ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสวนสาธารณะเมืองศรีโสภณซึ่งรั้วของสวนสาธารณะแห่งนี้สร้างเป็นรูปปฏิมากรรมปูนปั้นมหากาพย์รามยนะตอนการกวนเกษียณสมุทรโดยปั้นเป็นรูปยักษ์กับเทวดากำลังชักเย่อกันอย่างสนุกสนาน


โดยมีรูปปั้นพระวิษณุเทพประทับยืนอยู่บนหลังเต่าเป็นกรรมการคอยตัดสินอยู่ตรงกลาง


เราสองคนแวะลงถ่ายรูปอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงออกเดินทางกันต่อไป


เลยสวนสาธารณะในเมืองศรีโสภณมาเล็กน้อยบริเวณวงเวียนที่สองทางด้านขวามือมีถนนราดยางทางหลวงหมายเลข 5 ซึ่งเป็นเส้นทางถนนไปยังจังหวัดพระตะบอง ระยะทางประมาณ 65 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงจากเมืองศรีโสภณ คุณเม้งโชเฟอร์ของเราเปลี่ยนมาใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 6 ศรีโสภณ-เสียมเรียบ เส้นทางราดยางอย่างดีแตกต่างจากเมื่อหลายปีที่ผ่านมายังกับนรกกับสวรรค์ ตลอดสองข้างทางที่เราสองคนเดินทางผ่านเต็มไปด้วยท้องไร่ท้องนาอันเขียวชะอุ่มสุด ลูกหูลูกตา นานๆ ถึงจะแลเห็นภูเขาสักลูกหนึ่ง


นอกนั้นก็เป็นพื้นที่ราบลุ่มจึงเหมาะสำหรับทำ การเกษตรกรรมโดยเฉพาะการปลูกข้าวหอมมะลิ

เราเดินทางผ่านหมู่บ้านการันซึ่งเป็นเครื่องแสดงว่าพวกเราได้เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว


 สำหรับเมืองการันเป็นจุดพักรถเพื่อให้ลูกทัวร์ได้ลงมายืนเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้าในการเดินทาง บางคนก็เข้าห้องน้ำปฎิบัติภาระกิจส่วนตัวโดยเสียค่าธรรมเนียมรักษาความสะอาดคนละ 5 บาท ก็ให้ชาวบ้านเขาไปเถอะครับคิดว่าเป็นค่าดูแลรักษาความสะอาดห้องน้ำ ดีกว่าไปนั่งปลดทุกข์กันกลางทุ่งนา จะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่งในประเทศกัมพูชาเป็นเงินเป็นทองไปหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรฟรีหรอกครับในประเทศนี้ไม่ใช่ว่าคนกัมพูชาจะเห็นแก่ตัวหรอกน่ะครับ


แต่เนื่องจากในประเทศกัมพูชาค่าครองชีพค่อนข้างสูง ชาวกัมพูชาจึงปากกัดตีนถีบดิ้นรนทำมาหากินหลังจากตกอยู่ ในสภาวะสงครามมานานหลายสิบปีก็ต้องเห็นใจเขาบ้างล่ะครับ


แตกต่างจากเมืองไทยของเราที่ไม่เคยประสบสภาวะสงครามภายในประเทศที่บ้านแตกสาแหรกขาดเหมือนกับชาวกัมพูชา จะมีก็แต่หาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเองเท่านั้น


ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตลอดเส้นทางในขณะที่รถของเราหยุดพักจะแลเห็นบรรดาเด็กๆ ชาวกัมพูชาตัวเล็กตัวน้อยหอบของมาขายล้อมหน้าล้อมหลังนักท่องเที่ยว ที่น่าแปลกใจคือเด็กๆ สามารถพูดไทยชัดเป็นต่อยหอย แถมยังใช้สุภาษิตไทยที่ว่า “ตื้อเท่านั้นที่จะครองโลก” มาใช้กับนักท่องเที่ยวจนบางครั้งกลับกลายเป็นเรื่องที่น่ารำคาญไป
นักท่องเที่ยวบางคนทนตื้อไม่ไหวก็ตัดสินใจซื้อสินค้าที่นำมาขายด้วยความรำคาญปนน่าสงสารมากกว่า ก็ต้องเห็นใจเด็กชาวกัมพูชาเหล่านี้บ้างล่ะครับที่ยังรู้จักทำมาค้าขายกับนักท่องเที่ยวดีกว่าไปฉกชิงวิ่งราวล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยว  เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากท้องไร่ท้องนาฐานะยากจนดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตนเองและครอบครัวมีอะไรพอช่วยเหลือกันได้บ้างก็ช่วยเหลือกันไปล่ะครับ


สำหรับบริเวณจุดพักรถที่เมืองการันแห่งนี้มีเส้นทางราดยางสายย่อยหมายเลข 68 แยกไปทางด้านซ้ายมือตรงไปก็คือจังหวัดอุดรเหมียนเจยหรือเรียกเป็นภาษาไทยว่า  “จังหวัดอุดรมีชัย”ซึ่งมีพรมแดนใกล้ชิดติดกับประเทศไทยทางด่านช่องจอมจังหวัดสุรินทร์โดยมีเทือกเขาพนมดงเร็กภาษาเขมรแปลว่า “เขาไม้คาน” สำหรับภาษาไทยเรียกว่าเขาพนมดงรักเป็นกำแพงธรรมชาติกั้นพรมแดนทั้งสองประเทศออกจากกัน ซึ่งในช่วงสงครามที่ผ่านมาบริเวณพื้นที่แถบนี้อยู่ในเขตการปกครองของทหารเขมรแดงแทบทั้งสิ้น


และจากเมืองการันเราเดินทางต่อไปยังเมืองเสียมเรียบโดยใช้เส้นทางถนนหมายเลข 6 ผ่านท้องไร่ท้องนาอันขียวขจีสองข้างทาง


และภาพเกษตรกรชาวกัมพูชาที่กำลังบรรทุกหมูใส่ท้ายรถมอเตอร์ไซด์นำไปขายยังตลาด
คุณเม้งขับรถบนถนนหมายเลข6มาเรื่อยๆเคียงคู่มากับสิงห์มอเตอร์ไชด์ซึ่งกำลังขับซิ่งไปเมืองเสียมเรียบเดี๋ยวนี้คนกัมพูชาไม่ได้ยากจนเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมาแล้วน่ะครับรถยนต์ที่ขับผ่านรถของเราไปมาราคาบางคันหลายแสนบาทเชียวน่ะครับท่านผู้อ่านอย่าคิดว่าคนเขมรจนน่ะครับ


จนในที่สุดคุณเม้งก็พาเราสองคนเดินทางมาถึงยังเมืองเสียมเรียบเมื่อเวลา 12.00 น.ได้เวลาอาหารกลางวันพอดิบพอดีครับ


สำหรับอาหารกลางวันมื้อแรกของเราในเมืองเสียบเรียบเริ่มต้นขึ้นที่ภัตตาคารโตนเลสาป ซึ่งเป็นร้านอาหารกิจการของคนไทยในเมืองเสียมเรียบ


ซึ่งมีร้านอาหารอยู่สามแห่งและอีกหนึ่งโรงแรมด้วยกันคือ ภัตตาคารโตนเลสาป ภัตตาคารทะเลแม่โขง ภัตตาคารจัตุรมุข (ภัตตาคารเจ้าพระยาเดิม) แต่เปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็นภัตตาคารจัตุรมุข เมื่อไม่นานมานี้ด้วยเหตุผลบาง ประการ


ส่วนโรงแรมอีกแห่งหนึ่งซึ่งเปิดให้บริการไม่นานมานี้คือโรงแรม Tara Angkor hotel โรงแรมระดับ 4 ดาวตั้งอยู่ริมถนนเส้นทางสายหลักไปยังปราสาทนครวัดในเมืองเสียมเรียบโดยมีจำนวนห้องพักทั้งหมด 200 ห้อง
หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารกลางวันมื้อแรกในแดนกัมพูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงทำการเช็คอินเข้าสู่ห้องพักเพื่อปฎิบัติภาระกิจส่วนตัวก่อนที่จะ City Tourในเมืองเสียมเรียบต่อไป


สำหรับที่พักของเราในเมืองเสียมเรียบก็คือโรงแรม Tara Angkor hotel โรงแรมระดับ 4 ดาวในเมืองเสียมเรียบมีผู้จัดการเป็นคนไทยชื่อคุณ ชัยพฤกษ์  ภูมิเมือง  ชื่อเล่นว่าคุณ ต้อม  


               โรงแรม Tara Angkor hotel เป็นโรงแรมระดับสี่ดาวตั้งอยู่บนถนนไปยังปราสาทนครวัดอยู่ใจกลางเมืองเสียมเรียบโดยมีจำนวนห้องพัก200ห้องรองรับนักท่องเที่ยวได้ 400-500 คน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเช่นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่


สอบถามข้อมูลได้ที่ www.taraangkorhotel.com สำรองห้องพักได้ที่ E-mail:info@taraangkorhotel.com reservation@taraangkorhotel.com

หลังจากปฎิบัติภารกิจส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นคุณเม้งก็พาเราสองคนออกเดินทางไปท่องเที่ยวในเมืองเสียมเรียบ แต่ก่อนที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวในเมืองเสียมเรียบ เราสองคนแวะไปกราบสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองเสียบเรียบกันก่อน นั้นคือ องค์เจ่กและองค์จอม

ตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังของสมเด็จพระเจ้านโรดมสีหนุวรมัน ติดกับบริเวณสวนหลวงเอกราชใจกลางเมืองเสียมเรียบ มีลักษณะเป็นศาลาก่อขึ้นด้วยอิฐถือปูนขนาดกลางภายในศาลามีรูปปั้นสัมฤทธิ์ของพระองค์เจ๊ะพระองค์จอมประทับในท่ายืนอยู่เคียงคู่กัน


ซึ่งในแต่ละวันจะมีประชาชนชาวกัมพูชาจากทั่วทุกสาระทิศเดินทางนำดอกไม้มากราบสักการะบูชากันอย่างคับคั่งตลอดทั้งวัน


เราสองคนกราบสัการะบูชาพระรูปของพระองค์เจ๊ะพระองค์จอมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงเดินข้ามถนนมาไหว้รูปปั้นยายเทพซึ่งตั้งอยู่ภายในวงเวียนข้างศาลพระรูปของพระองค์เจ๊ะพระองค์จอม      สำหรับยายเทพคือเทพผู้คอยปกป้องเมืองเสียมเรียบไว้ให้รอดพ้นจากข้าศึกศัตรูผู้ที่จะมารุกราน


จากนั้นจึงออกมาเดินเล่นบริเวณสวนหลวงเอกราชซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของศาลพระองค์เจ๊ะพระองค์จอม


บรรยากาศบริเวณสวนหลวงเอกราชร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่อายุนานนับร้อยปียืนต้นเรียงรายเป็นระเบียบเรียบ ร้อยให้ความร่มเย็นแก่ผู้ที่เดินทางมาเยี่ยมเยือนเป็นยิ่งนัก


มองตรงไปทางทิศตะวันออกก็คือ พระราชวังของเจ้านโรดมสีหนุวรมัน กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา พระราชวังของพระองค์ทาด้วยสีขาวอมเหลืองดูสวยงามสะอาดตายิ่งนัก


ในอดีตพระราชวังแห่งนี้เคยใช้เป็นที่ประทับชั่วคราวของเจ้านโรดมสีหนุวรมันเมื่อคราวทรงเสด็จแปรพระราช ฐานจากพระราชวังเขมรินทร์ในกรุงพนมเปญมาประทับที่เมืองเสียมเรียบ


ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้ถูกปิดมานานหลายปีแล้วสาเหตุเพราะเจ้านโรดมสีหนุ วรมัน อดีตกษัตริย์แห่งกัมพูชาทรงพระชราภาพมากแล้วไม่สะดวกในการเสด็จพระราชดำเนิน เดินทางมาไกลๆ แต่จะทรงประทับอยู่แต่พระราชวังเขมรินทร์ในกรุงพนมเปญเท่านั้น


แต่บริเวณพระราชวังก็ยังมีทหารมหาดเล็กยืนรักษาการณ์อยู่บริเวณโดยรอบพระราชวัง และห้ามนักท่องเที่ยวเดินเข้าไปใกล้ยังตัวพระราชวังแห่งนี้


ตรงข้ามกับพระราชวังก็คือสวนสาธารณะประจำเมืองเสียมเรียบ ที่เต็มไปด้วยต้นยางขนาดใหญ่อายุอานามหลายสิบปีแผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็นบรรยากาศร่มรื่นน่านั่งพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง


นอกจากนี้บนกิ่งก้านสาขาของต้นยางยักษ์เหล่านี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าสมุนแบ๊ทแมนหรือค้างคาวแม่ไก่ขนาดใหญ่นอนหลับห้อยหัวอยู่เป็นจำนวนมาก


ตรงข้ามกับสวนสาธารณะเป็นที่ตั้งของโรงแรม Grandangkor  hotel โรงแรมเก่าแก่ที่สุดและเป็นโรงแรมแห่งแรกในเมืองเสียมเรียบมีอายุเกือบ 100ปี โรงแรมออกแบบคลาสสิคตามสไตล์ฝรั่งเศสอาคารของโรงแรมทาด้วยสีขาวอมเหลืองมีความสูงเพียง 3 ชั้นเท่านั้นสร้างขึ้นในสมัยยุคกัมพูชาตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส


ปัจจุบันโรงแรม Grandangkor  hotel ได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมไว้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะภายในห้องพักโต๊ะตู้เตียงตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ยังคงสภาพเดิมเหมือนเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน โรงแรมแห่งนี้จึงเหมาะสำหรับกับนักท่องเที่ยวที่มีสตังค์และชอบบรรยากาศเก่าๆ และด้วยความที่เป็นโรงแรมเก่าแก่ที่สุดโรงแรมแห่งนี้จึงเป็นโรงแรมที่มีราคาแพงที่สุดในเมืองเสียมเรียบอีกด้วยโรงแรม Gandangkor  hotel จะใช้ต้อนรับคณะทูตานุทูต บุคคลสำคัญ ตลอดจนมหาเศรษฐีระดับโลก สำหรับเราสองคนเศรษฐีระดับรากหญ้าจึงหมดสิทธิเข้าพัก เพราะตังค์น้อยแถมเสียดายตังค์อีกด้วย แต่ถ้าท่านผู้อ่านเป็นผู้มีสตังค์มีเงินถุงเงินถังทางโรงแรมก็ไม่ปฎิเสธที่จะต้อนรับท่านขอให้มีสตังค์อย่างเดียวนั้นเป็นพอ เมื่อปี พ.ศ. 2495 โรงแรม Grandangkor hotel แห่งนี้เคยให้การต้อนรับบุคลสำคัญของเมืองไทยคือ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อครั้งที่ท่านยังคงมีชีวิตอยู่เคยเดินทางมาพักยังโรงแรมแห่งนี้และเคยขียนหนังสือเกี่ยวกับประเทศกัมพูชา เรื่อง “ถกเขมร” จนโด่งดังไปทั่วฟ้าเมืองไทย


และจากสวนสาธารณะเราสองคนเดินข้ามถนนลัดเลาะมาตามแม่น้ำเสียมเรียบที่สองฟาก ฝั่งของแม่น้ำเสียมเรียบร่มรื่นไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่หลายคนโอบมองคร่าวๆ น่าจะอายุหลายสิบปี


สำหรับแม่น้ำเสียมเรียบแห่งนี้นับว่าเป็นแม่น้ำสายสำคัญในเมืองเสียมเรียบ โดยมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาพนมกุเลน ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองเสียมเรียบระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร เทือกเขาแห่งนี้เป็นเทือกเขาที่ชาวขอมโบราณเชื่อกันว่าเป็นที่สถิตย์ของเหล่าบรรดาทวยเทพที่สำคัญต่างๆในศาสนาฮินดู กระแสน้ำบนเทือกเขาพนมกุเลนจะผุดขึ้นจากตาน้ำที่มีเป็นจำนวนมากมายมหาศาลจากนั้นกระแสน้ำจะไหลผ่านศิวลึงค์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวขอมโบราณที่มี นับเป็นพันๆ องค์ ชาวขอมโบราณจะแกะสลักศิวลึงค์นับเป็นพันๆองค์ไว้ตามหินทรายใต้ผืนน้ำจากนั้น กระแสน้ำจะไหลลงมาสู่ยังเบื้องล่างชาวขอมโบราณเชื่อกันว่าเป็นน้ำ ศักดิ์สิทธิ์กระแสน้ำจะไหลผ่านเรือกสวนไร่นาก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ไป ทั่วทั้งแผ่นดินกัมพูชาก่อนที่จะไหลลงสู่โตนเลสาปต่อไปครับ

                                       
สำหรับเขาพนมกุเลนอันเป็นที่ สถิตย์ของเหล่าบรรดาทวยเทพที่สำคัญในศาสนาฮินดูตลอดจนปฏิมากรรมการแกะสลักศิวลึงค์ใต้น้ำผมจะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวชมในวันต่อไปครับ
กลับมาว่ากันเรื่องแม่น้ำเสียมเรียบกันต่อดีกว่าครับ เนื่องจากแม่น้ำเสียมเรียบเป็นแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่านใจกลางเมืองเสียมเรียบอันเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศกัมพูชา


ทางรัฐบาลกัมพูชาเล็งเห็นความสำคัญของแม่น้ำสายนี้ปัจจุบันได้ทำการเวณคืนที่ดินสองฟากฝั่งของแม่น้ำสายนี้จากนั้นจึงทำการพัฒนาปรับภูมิทัศน์โดยการสร้างเขื่อนขึ้นมาตลอดแนวสองฟากฝั่งของแม่น้ำจากนั้นจึงทำการสร้างสวนสาธารณะตลอดแนวสองฟากฝั่งของแม่น้ำสายนี้ ซึ่งร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่สองฟากฝั่งใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองเสียมเรียบตลอดจนนักท่องเที่ยวทั่วไปชอบมานั่งพักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายกันในยามเย็นเวลาแดดร่มลมตก


นอกจากนี้แล้วในวันสำคัญทางศาสนา เช่นงานประเพณีวันออกพรรษาหรือที่ชาวกัมพูชาเรียกว่าวัน “บุญออมตุก” ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ในเมืองเสียมเรียบจะจัดให้มีการแข่งขันเรือพายในแม่น้ำเสียมเรียบโดยจะมีชาวบ้านจังหวัดต่างๆในกัมพูชา


นำเรือพายมาแข่งขันกันในแม่น้ำเสียมเรียบกันอย่างสนุกสนาน ท่านผู้อ่านชมประเพณีแข่งเรือในงานวันออกพรรษาได้จากภาพถ่ายที่ผมได้บันทึกภาพมานี้ได้เลยครับ



นอกจากนี้ยังใช้ลอยกระทงในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองซึ่งเป็นวันลอยกระทงอีกด้วย


และก่อนที่ผมจะพาท่านผู้อ่านเดินทางเข้าไปเที่ยวชมปราสาทนครวัดนครธมในวันต่อไปผมขอพาท่านผู้อ่านเดินทางเข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เมืองเสียมเรียบหรือ ANGKORNATIONALMUSEUM เพื่อทำความเข้าใจและศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของอารยะธรรมขอมโบราณภายในพิพิธภัณฑ์เมืองเสียมเรียบแห่งนี้ก่อนที่จะเดินทางเข้าไปเที่ยวชมปราสาทต่างๆ กันในวันต่อไปครับ
สำหรับการเข้าไปเยี่ยมชมภายในพิพิธภัณฑ์เมืองเสียมเรียบเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำท่านผู้อ่านที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังเมืองเสียมเรียบก่อนที่จะเดินทางเข้าไปเยี่ยมชมปราสาทนครวัด นครธม ควรที่จะเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เมืองเสียมเรียบก่อนครับ จะทำให้ท่านเที่ยวชมภายในปราสาทนครวัด นครธมได้สนุกและคุ้มค่ากับการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์เมืองเสียมเรียบ
สำหรับANGKORNATIONALMUSEUM ตั้งอยู่บนถนนเส้นทางไปนครวัดห่างจากสวนสาธารณะเสียมเรียบประมาณ150 เมตร


พิพิธภัณฑ์เมืองเสียมเรียบแห่งนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมทุกวันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตั้งแต่เวลา 08.30-18.30 น. ค่าเข้าชมคนละ 12 USD


สำหรับราคาค่าตั๋วเข้าชมภายในของพิพิธภัณฑ์มีสองราคาครับคือราคาตั๋วเข้าชมภายในของพิพิธภัณฑ์เพียงอย่างเดียวกับราคาตั๋วเข้าชมรวมอาหารกลางวันครับท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถคล๊กเข้าไปชมรายละเอียดได้ที่ www.angkornationalmuseum.com
Tel:855 63 966 601 Fax:855 63 966 600 Email: info@the-anm.comangkornationalmuseum@gmail.com


หลังจากซื้อตั๋วเข้าชมเป็นที่เรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์จะแจกหูฟังให้เราทั้งสองคนซึ่งเปรียบเสมือนกับไกด์นำทางเที่ยวชมภายในของพิพิธภัณฑ์ซึ่งมีให้นักท่องเที่ยวได้เลือกหลายภาษาเช่นอังกฤษ,จีน,ญี่ปุ่นฯลฯแต่ไม่มีภาษาไทยครับเราจำเป็นจะต้องเลือกเมนูอังกฤษทั้งๆที่ภาษาอังกฤษของเราสองคนนั้นงูๆปลาๆฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ยังดีกว่าไม่รู้เรื่องเลย
สำหรับกฎระเบียบของพิพิธภัณฑ์เมืองเสียมเรียบอีกอย่างหนึ่งก็คือห้ามถ่ายรูปภายในพิพิธภัณฑ์โดยเด็ดขาด
สำหรับภาพต่างๆที่เรานำมาให้ท่านผู้อ่านได้ชมนี้ผมได้ติดต่อขออนุญาตจากคือคุณวิชัย พรประเสริฐ อดีตผู้จัดการชาวไทย(ในขณะนั้น) ที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ก่อนแล้วน่ะครับจึงสามารถนำภาพต่างๆ เหล่านี้มาเผยแพร่ให้ท่านผู้อ่านได้ชมกันได้และต้องขอขอบคุณพี่วิชัย  พรประเสริฐมายังน่ะที่นี่ด้วยครับ


เราสองคนเดินเที่ยวชมภายในพิพิธภัณฑ์เมืองเสียมเรียบด้วยใจจดจ่อ ภายในของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เต็มไปด้วยโบราณวัตถุในสมัยขอมโบราณหลายยุค โบราณวัตถุทุกๆชิ้นไม่สามารถประเมินค่าได้เป็นสมบัติที่มีคุณค่าทางวัฒธนธรรมอันยิ่งใหญ่ของชาวกัมพูชา


เช่นภาพแกะสลักของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งในรัชสมัยของพระองค์อาณาจักรขอมยิ่งใหญ่และเกรียงไกรมาก แผ่อิทธิพลและความเชื่อในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายมาทางทิศตะวันตกจนถึงยังปราสาทเมืองสิงห์ในจังหวัดกาญจนบุรี ท่านผู้อ่านลองคิดดูซิครับว่าเมืองพระนครของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนปราสาทเมืองสิงห์นั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกอาณาจักรขอมในสมัยนั้นจะยิ่งใหญ่และกรียงไกรขนาดไหนคิดดูกันเอาเองก็แล้วกันน่ะครับ


นอกจากนั้นภายในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงทับหลังในยุคต่างๆ


ตลอดจนรูปแกะสลักของเทพเจ้าต่างๆในศาสนาฮินดู


ภายในพิพิธภัณฑ์ยังจัดห้องมัตติวิชั่นแสงสีเสียงแสดงถึงประวัติความเป็นมาของปราสาทนครวัดอีกด้วย


รูปจำลองของมหาปราสาทนครวัด


เราสองคนเดินเที่ยวชมภายในของพิพิธภัณฑ์เมืองเสียมเรียบจนดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า


จากนั้นคุณเม้งจึงพาเราสองคนเดินทางไปรับประทานอาหารค่ำพร้อมชมการแสดงแสง สี เสียงกันที่ Smile Angkor ซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองเสียมเรียบระยะทางประมาณ 3 กม.


สำหรับ Smile Angkor แห่งนี้เดิมทีใช้ชื่อว่า Angkor coexได้รับการสนับสนุนการก่อสร้างจากนายทุนเกาหลี สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศูนย์ประชุมนานาชาติและสถานที่จัดแสดงสินค้าประจำเมืองเสียมเรียบคล้ายกับเมืองทองธานีบ้านเรา ต่อมากลุ่มทุนจากจีนเข้าทำการเทคโฮเวอร์จากนายทุนเกาหลีพร้อมจัดแสดงแสงสีเสียงและบุฟเฟ่ต์อาหารค่ำนานาชาติ


สำหรับราคาค่าเข้าชมแสงสีเสียงพร้อมอาหารค่ำภายใน Smile Angkor คนละ 66 USD แต่ถ้าชมเพียงการแสดงแสง สี เสียงเพียงอย่างเดียวเขาคิดคนละ 48 USD ครับ สนใจคลิ๊กเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่  www. Smileof Angkor.com     ได้เลยครับ
เราสองคนจัดการกับอาหารค่ำสไตล์บุฟเฟ่ต์นานาชาติรสชาติของอาหารกระเดียดไปทางอาหารจีนและเกาหลีมากกว่าสไตล์บุฟเฟ่ต์นานาชาติแบบไทยหรือฝรั่งรสชาติของอาหารจึงจืดสนิทสู้อาหารจีนที่เมืองไทยของเราไม่ได้หลังจากจัดการกับอาหารค่ำกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


จากนั้น เราสองคนจึงเดินเข้าไปชมการแสดงแสง สี เสียงกันภายในโรงละครที่สร้างขึ้นคล้ายกับโรงละครสยามนิรมิตรบ้านเรา แต่โรงละคร Smile Angkor มีขนาดเล็กกว่าเราแถมการแสดงในบางฉากออกไปทางจีนๆ มากกว่าที่จะเป็นขอมโบราณแท้ๆ ก็อย่างว่าล่ะครับนายทุนใหญ่เป็นคนจีน การแสดงก็เลยออกไปทางจีนๆ มากกว่าจะเป็นขอมโบราณแท้ๆ ครับ


ถ้าท่านผู้อ่านเดินทางมาเที่ยวเมืองเสียมเรียบแล้วอยากจะมาชมการแสดงเสียงสีเสียงของ โรงละคร Smile Angkor ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอบอกสักนิดหนึ่งว่าราคาค่าตั๋วเข้าชมการแสดง 48 USD ออกจะแพงเอาการอยู่ครับ
สำหรับการแสดงแสง สี เสียงในแต่ละฉากเป็นการเล่าประวัติเรื่องราวของพระเจ้าพระเจ้าสุริยะวรมันที่2 ผู้สร้างมหาปราสาทนครวัด


พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชแห่งอาณาจักรขอมโบราณแห่งเมืองพระนคร


การแสดงการกวนเกษียรสมุทรระหว่างยักษ์กับเทวดา


จากโรงละคร Smile Angkor คุณเม้งพาเราสองคนขับรถฝ่าความมืดเดินทางกลับมายังโรงแรม Tara Angkor hotel เพื่อพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้เดินทางท่องเที่ยวเมืองเสียมเรียบต่อในวันรุ่งขึ้นวันพรุ่ง นี้เราสองคนจะพาท่านผู้อ่านเดินทางไปท่องเที่ยวยังมหาปราสาทนครวัด นครธม สิ่งมหัศจรรย์ 1ใน 7 ของโลก พร้อมกับพิสูจน์คำพูดที่เป็นอมตะว่า “See Angkor and Die” ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “เพียงได้เห็นนครวัดสักครั้งหนึ่งในชีวิต...ก็ตายตาหลับแล้ว” แต่ตอนนี้ผมขอเปลี่ยนจาก “ตายตาหลับ” เป็น  “นอนตาหลับ” จะฟังดูไพเราะเพราะหูกว่าใช่ไหมครับท่านผู้อ่าน

สำหรับในวันนี้เราสองคนขอกล่าวคำว่า “ราตรีซัวซะเดย บาท”  หรือแปลว่า ราตรีสวัสครับ      
นที่สองของการเดินทาง

เราสองคนตื่นนอนตอนเช้าหลังจากปฎิบัติภาระกิจส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นเราสองคนจึงเดินลงมาที่บริเวณหน้าล๊อบบี้ของโรงแรม Tara Angkor Hotel แลเห็นคุณเรด สมุทรไกด์ชาวกัมพูชาแต่สามารถพูดภาษาไทยและอังกฤษได้ปร๋อยืนยิ้มแฉ่งรอเราสองคนอยู่พร้อมกับกล่าวเป็นภาษากัมพูชาว่า “อรุณซัวซเดย” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “สวัสดียามเช้า” สำหรับคุณเรด สมุทรเป็นไกด์ภาษาไทยชาวกัมพูชาที่เราสองคนจ้างมาในอัตราค่าจ้างวันละ 25 USD
                 สำหรับการตั้งชื่อของคนกัมพูชาเขาจะนิยมเอาชื่อบิดานำหน้าส่วนคำที่ตามหลังมาก็คือชื่อของตนเองเช่นชื่อของไกด์เรด สมุทรคำว่า “เรด”ก็คือชื่อบิดาของคุณเรดสมุทร ส่วนคำว่าสมุทรก็คือชื่อของตัวเอง         สำหรับคำว่าสมุทรแปลเป็นไทยว่า “ทะเล”นั่นเองครับ ส่วนคำว่าทะเลหรือโตนเลในภาษาเขมรก็คือแม่น้ำเช่นแม่น้ำโขงคนกัมพูชาเขาจะเรียกแม่น้ำโขงว่า “โตนเลแม่โขง”ครับท่านผู้อ่านคงเข้าใจน่ะครับ



                     ไกด์เรด สมุทรเคยมีผลงานทางทีวีเมืองไทยเคยออกรายการท่องเที่ยวทางสถานนีโทรทัศน์ ThaiPBS และอีกหลายๆช่องในเมืองไทยซึ่งนอกจากไกด์เรด สมุทรจะมีอาชีพเป็นไกด์ภาษาไทยแล้วยังมีอาชีพหลักคือเป็นมือกล้องVDOประจำสถานีโทรทัศน์หลายช่องในประเทศกัมพูชาถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอีกด้วย


ท่านผู้อ่านท่านใดที่สนใจอยากจะให้ไกด์เรด สมุทรมาเป็นไกด์พาเที่ยวมหาปราสาทนครวัด-นครธมสามารถติดต่อไกด์เรด สมุทรได้ที่เบอร์โทรศัพท์กัมพูชา001 855 12 99 33 11หรือติดต่อไปที่ e-mail bayon_ giude.com     หรือคลิ๊กเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซด์ส่วนตัวของคุณเรด สมุทรได้ที่     www.bayon_smile@yahoo.com ภายในเว็บไซด์มีชีวประวัติเรื่องราวความเป็นมาของคุณเรด สมุทรตั้งแต่เป็นเด็กจนเติบโตมาเป็นหนุ่มใหญ่และเกร็ดความรู้เรื่องราวของอารยะธรรมขอมโบราณและประเทศกัมพูชาน่าสนใจมากครับ
วันนี้ไกด์เรด สมุทรบอกเราสองคนว่าจะพาเราสองคนเดินทางเข้าไปเที่ยวยังปราสาทนครวัด-นครธม ที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเสียมเรียบระยะทางประมาณ 7 กม. แต่ก่อนที่จะเดินทางเข้าไปเยี่ยมชมภายในปราสาทนครวัด-นครธมนั้นต้องหาอาหารเช้ารับประทานกันก่อนออกเดินทางท่องเที่ยว
ร้านไอหง ( I  Hong)ในซอยตลาดNight marketคือที่ที่เราจะพาท่านผู้อ่านมาลองลิ้มชิมรสเมนูอาหารเช้าแบบเขมรๆกัน


ร้านไอหง ( I  Hong)มีอาหารเช้าให้เราเลือกรับประทานหลายเมนูด้วยกันอาทิเช่นข้าวหน้าเป็ด,ก๋วยเตี๋ยวกระดูกหมู,บะหมี่หน้าเป็ดและขนมปังจิ้มซุปเนื้อฯลฯในราคาจานละ2.50 -3USDทั้งยังมีชากาแฟให้รับประทานอีกด้วย



ภายในร้านคับคั่งไปด้วยลูกค้าชาวกัมพูชาเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจสั่งอาหารเสริฟอาหารดังลั่นไปทั่วร้านสมกับบรรยากาศของร้านอาหารจีนจริงๆส่วนเถ้าแก่ร้านก็แสนที่จะใจดีพอรู้ว่าเราสองคนมาจากเมืองไทยมาถ่ายทำประชาสัมพันธ์ร้านอาหารให้ก็ออกแอ๊คชั่นการทำก๋วยเตี๋ยวให้เราถ่ายภาพกันอย่างสนุกสนาน



ท่านผู้อ่านที่เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองเสียมเรียบน่าจะลองมาชิมอาหารเช้าและบรรยากาศร้านอาหารเช้าสไตล์เขมรๆที่ร้านไอหง( I  Hong)แห่งนี้บ้างน่ะครับจะได้บรรยากาศแบบชาวบ้านๆดีกว่านั่งรับประทานอาหารอยู่แต่ในโรงแรมที่พัก...ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเบื่อจะตายไปครับ


ร้านไอหง( I  Hong)แห่งนี้จะเปิดให้บริการอาหารเช้าตั้งแต่เวลา06.00-11.00นเท่านั้นน่ะครับพอสายหน่อยก็จะปิดร้านพอตกตอนเย็นบริเวณหน้าร้านก็จะปรับเปลี่ยนมาขายเสื้อผ้าแทนเรียกว่าท่านผู้อ่านมาเดินเที่ยวในซอยตลาดNight marketในตอนเย็นหรือค่ำจะมองหาร้านไอหง( I  Hong)ไม่เจอเพราะเปลี่ยนมาเป็นร้านขายเสื้อผ้าแทนไม่มีร่องรอยว่าเคยเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวในตอนเช้าแม้แต่น้อยเลยครับจะเห็นก็แต่ป้ายชื่อร้านไอหง( I  Hong)ด้านบนเท่านั้นส่วนด้านหน้าถูกบดบังด้วยร้านขายเสื้อผ้าไปแล้วครับท่านผู้อ่านชมได้ตามรูปครับ


หลังจากอาหารเช้าผ่านพ้นไปแล้วต่อจากนี้ไปไกด์เรดสมุทรจะพาเราสองคนเดินทางไปยังสถานที่จำหน่ายตั๋วเข้าชมนครวัดนักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องซื้อตั๋วก่อนเดินทางเข้าชมเหมือนซื้อตั๋วเข้าชมปราสาทหินพนมรุ้งหรือปราสาทหินพิมายในบ้านเรานั่นล่ะครับ

 สำหรับบริษัทฯ ที่ได้รับสัมปทานจำหน่ายตั๋วเข้าเที่ยวชมภายในปราสาทนครวัด-นครธม ก็คือบริษัทน้ำมัน SOKIMEX ของเวียดนาม เป็นบริษัทฯผู้ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียวครับ จากนั้นคุณเรด สมุทรก็พาเราสองคนขึ้นรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างหรือที่ชาวกัมพูชาเรียกว่า “โมโตดุ๊ป” (ดูได้ตามรูปครับ)




ท่านผู้อ่านอย่านึกว่าเป็นรถมอเตอร์ไซด์แบบวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างหน้าปากซอยบ้านเราน่ะครับ รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างนำเที่ยวในเมืองเสียมเรียบนั้นดีกว่ารถมอเตอร์ไซด์รับจ้างในบ้านเราอีกครับ คือข้างหน้ามีลักษณะเป็นรถมอเตอร์ไซด์แต่ข้างหลังถูกพ่วงด้วยรถที่นั่งสองล้อมีเบาะสองอันหันหน้าเข้าหากัน เหมือนที่บางคล้า ฉะเชิงเทราบ้านเรา สามารถนั่งได้ 3-4 คนอย่างสบายๆรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างมีวิ่งให้บริการนักท่องเที่ยวทั่วไปในเมืองเสียมเรียบ



สำหรับเรื่องราคาอยู่ที่ว่าจะตกลงกันเอง คนขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างในเมืองเสียมเรียบบางคนก็พูดไทยได้เพราะเคยเดินทางมารับจ้างขายแรงงานในเมืองไทยจึงสามารถพูดภาษาไทยได้ชัดเจนเช่นคนขับรถรับจ้างที่เราสองคนใช้บริการก็สามารถพูดไทยได้ครับ สำหรับอัตราค่าบริการแล้วแต่ระยะทางที่จะไปชมใกล้ไกลถ้าไปเที่ยวชมแค่ปราสาทนครวัดกับเมืองพระนครราคา 15 USD แต่ถ้าให้ไปไกลถึงปราสาทบันทายสรีที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเสียมเรียบระยะทางประมาณ 35 กม. คิดวันละ 20 USD ครับ


และเมื่อตกลงราคากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นคนขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างก็พาเราสามคนเดินทางมาถึงยังที่จำหน่ายตั๋วซึ่งตั้งอยู่บนถนนทางขวามือทางเข้าสู่ปราสาทนครวัดห่างจากปราสาทนครวัดระยะทางประมาณ 2 กม.


สำหรับตั๋วเข้าชมปราสาทนครวัด-นครธม มีจำหน่าย 3 ราคาคือ
- 1 วันราคา 20 USD
- 3 วันราคา 40 USD
- 7 วันราคา 60  USD


สำหรับตั๋วเข้าชมหนึ่งวันผู้เข้าชมไม่ต้องถ่ายรูป ส่วนตั๋ว 3 และ 7 วัน ผู้เข้าชมจะต้องถ่ายรูปติดบัตร จากนั้นเจ้าหน้าที่จะนำรูปของเราไปทำเป็นบัตรแข็งห้อยคอและเมื่อจะเดินทางไปเข้าชมปราสาททุกปราสาทจะต้องแสดงบัตรที่มีรูปหน้าของตนอยู่ในบัตรให้เจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่แต่ละปราสาทได้ตรวจเช็คเสียก่อนจึงจะสามารถเดินทางเข้าไปเที่ยวชมภายในปราสาทแต่ละแห่งได้ครับ
ไกด์เรด สมุทรเล่าให้เราสองคนฟังว่าเคยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติแอบเข้าไปเที่ยวในปราสาทนครวัด-นครธมโดยไม่ซื้อตั๋วถูกเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรจับได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าของราคาค่าตั๋ว นักท่องเที่ยวคนนั้นก็เลยซวยไปเพราะความเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่ายก็เลยเสียเยอะ แต่การเสียค่าตั๋วเข้าชมปราสาทนครวัด-นครธม ราคา 20 USD ต่อวันนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยบางคนบอกว่าค่าตั๋วแพงมาก เพราะที่เมืองไทยนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าชมปราสาทแต่ละแห่งในเมืองไทยเช่นปราสาทพนมรุ้งที่ จ.บุรีรัมย์เสียค่าเข้าชมเพียงแค่คนละ 20 บาทเท่านั้นเองครับ แตกต่างจากปราสาทนครวัด-นครธม เสียค่าเข้าชมคนละ 20 USD ต่อวัน ใครว่าไม่คุ้มแต่ผมว่าเพียงแค่เข้าชมปราสาทนครวัดเพียงปราสาทเดียวก็สุดแสนที่จะคุ้มแล้วน่ะครับเพราะใหญ่โตอลังกางานสร้างเกินกำลังที่มนุษย์ตาดำๆ อย่างเราจะสร้างขึ้นมาได้ ในสมัยเมื่อเกือบพันปีที่แล้วที่ยังไม่มีเครื่องจักรกลและสถาปนิกใช้เพียงแค่แรงคนช้างม้าวัวควายล้วนๆ ครับแค่ชมปราสาทนครวัดเพียงปราสาทเดียวก็คุ้มแล้วครับยังไม่นับปราสาทอื่นที่มีอยู่อีกเป็นสิบๆ ปราสาทในเมืองพระนคร เช่น ปราสาทบายน ที่ยอดปราสาท (โคปุระ)มีพระพักต์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือที่นักวิชาการทางโบราณคดีสันนิฐานว่าเป็นพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นั่นล่ะครับ ก็อลังกางานสร้างแล้วเรียกว่าพอกลับมาดูปราสาทขอมต่างๆ ที่มีอยู่ในเมืองไทยของเราแล้วแทบจะดูเป็นเด็กๆไปเลยครับ เรียกว่าค่าเข้าชมปราสาทนครวัด-นครธม คนละ20 USD ต่อวันนั้นคุ้มแล้วครับท่านผู้อ่าน
พอไกด์เรด สมุทรพาเราสองคนตีตั๋วแค่วันเดียวเข้าชมปราสาทนครวัด-นครธมเป็นที่เรียบร้อยแล้วไกด์เรด สมุทรหันมาบอกกับเราสองคนว่าจะพาเราสองคนเดินทางไปเที่ยวชมปราสาทที่ตั้งอยู่ไกลตัวเมืองเสียมเรียบ เช่น ปราสาทบันทายศรี ที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเสียมเรียบระยะทางประมาณ 35 กม. เที่ยวชมกันก่อนเป็นปราสาทแรกจากนั้นแล้วจึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาเที่ยวปราสาทใกล้ ๆ เช่น ปราสาทตาพรหม, ปราสาทบายน และปิดท้ายด้วยปราสาทนครวัดที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเสียมเรียบระยะทางประมาณ 7 กม. เป็นปราสาทสุดท้ายครับ
หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้วรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างก็พาเราทั้งสามคนเดินทางไปตามถนนราดยางโบราณที่สองข้างเต็มไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อายุอานามมองด้วยตาเปล่านับเป็นร้อยๆ ปีครับ


พร้อมเหล่าสมุนพระราม(ลิงเสน)ที่ลงมาหาอาหารกินในยามเช้า



บรรยากาศสองข้างทางสู่ปราสาทนครวัด-นครธม ที่เราสองคนเดินทางผ่านเหมือนนั่งเครื่องย้อนเวลาเดินทางกลับเข้ามาในยุคอาณาจักรขอมเรืองอำนาจปราสาทหินโบราณที่มีอายุอานามนับเป็นพันปีเลยจริงๆ ครับท่านผู้อ่าน
รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างก็พาเราทั้งสามคนเดินทางผ่านหมู่บ้านเรือกสวนไร่นาของชาวกัมพูชาที่ดูแปลกหูแปลกตาใช้เวลาประมาณ 45 นาที


ในที่สุดเราสามคนก็เดินทางมาถึงยังปราสาทบันทายศรีและหลังจากที่เราทั้งสามคนหาที่จอดรถพร้อมแสดงตั๋วเข้าชมให้เจ้าหน้าที่ตรวจเช็ควันที่ถูกต้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นไกด์เรด สมุทก็พาเราสองคนเดินเข้าไปเที่ยวชมภายในปราสาทบันทายศรีพร้อมเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของปราสาทบันทายศรีให้เราสองคนฟังในทันที

ปราสาทบันทายศรีหรือที่ชาวกัมพูชาเรียกกันว่า  “บันเตียเสรัย” ซึ่งแปลว่า  “ป้อมสตรี” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากเมืองเสียมเรียบมาประมาณ 35 กิโลเมตร ตามตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าปราสาทบันทายศรีแห่งนี้สร้างขึ้นโดยพราหมณ์ ที่มีชื่อว่า “ยัชญวราหะ” เป็นอาจารย์ในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายและเป็นพระอาจารย์ท่านแรกของพระราชา แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา พราหมณ์ผู้นี้เคยแป็นผู้เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ตั้งแต่สมัยยังทรงพระเยาว์สำหรับสิ่งที่น่าสนใจในปราสาทบันทายศรีมีดังต่อไปนี้ครับ
- ซุ้มประตูทางเข้า จำหลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณลวดลายมีความละเอียดสวยงามมาก
- ซุ้มทางด้านซ้ายมือ จำหลักภาพพระอิศวรทรงโคนนทิมีพระอุมาเทวีประทับด้านซ้าย
- ซุ้มทางขวามือ มีรูปพระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์


เมื่อ ผ่านประตูเทวาลัยเข้าไปภายในจะแลเห็นปราสาทองค์แรก สร้างอยู่เหนือฐานเดียวกันซึ่งสูง 90 เซนติเมตร ขนาบด้วยบรรณาลัย ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาตำราหรือวัตถุที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาฮินดู มีประตูเข้าทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกซุ้มประตู หรือโคปุระนี้ ประดิษฐานปฏิมากรรมซึ่งถูกช่างขอมโบราณแกะสลักขึ้นด้วยลวดลายอันวิจิตรบรรจง และอ่อนช้อยไม่ว่าจะเป็นทวารบาลและนางอัปสราเทพธิดาที่เฝ้าเทวาลัยก็เต็มไป ด้วยความสง่างามและมีชีวิตจิตใจกลายมาเป็นมรดกอันล้ำค่าของศิลปะขอมจนถูก ยกย่องให้เป็น “รัตนชาติแห่งมรดกขอม”  ในกรอบซุ้มปราสาทองค์แรก มีรูปพระศิวะกำลังร่ายรำหรือที่เรียกว่า “ศิวนาคราช” ท่ารำของพระองค์มีถึง 108 ท่า แต่ละท่ามีผลต่อฟ้าดิน
ส่วนหน้าบันของห้องสมุดทางด้านทิศใต้ สลักภาพพระอิศวรกำลังประทับนั่งอยู่เหนือเขาไกรลาศ และที่บริเวณหน้าบันห้องสมุดทางด้านทิศเหนือ แสดงภาพพระอินทร์ กำลังบันดาลให้ฝนตกลงมาและบนอาคารเดียวกันนี้เองเหนือหน้าบันทางทิศตะวันตก แสดงภาพพระกฤษณะกำลังประหารพระยากงศ์ในพระราชวัง ภาพสลัก ณ ปราสาทบันทายศรี


นอกจากความงดงามในฝีมือการแกะสลักแล้ว ยังมีคุณค่ากับมวลมนุษย์อย่างมหาศาล อันจะเห็นได้จากความรู้สึกที่แสดงออกมาจากภาพเหล่านั้น ซึ่งเป็นพยานหลักฐานชิ้นแรกและชิ้นสำคัญ ที่ทำให้เราทราบถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของชาวขอมในต้นพุทธศตวรรษที่ 16 และความวิจิตรบรรจงของงานแกะสลักหินจากฝีมือช่างขอมโบราณ


ในอดีตที่ผ่านมาเคยมีนักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ อองเดร มาลโรซ์ เจ้าของผลงาน เขียนเรื่อง  “เสน่ห์ตะวันออก”เดินทางมาชมปราสาทบันทายศรีนี้เมื่อปี พ.ศ. 2466 และได้ใช้เลื่อยและลิ่มสกัดเอารูปนางอัปสราออกไป 6 ชิ้น มาลโรซ์และเพื่อนถูกจับได้บนเรือกลไฟที่พนมเปญ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ปีเดียวกันนั้นเอง และเมื่อวันที่ 11 กรกฏาคม พ.ศ. 2467 ศาลที่กรุงพนมเปญได้ตัดสินให้จำคุกมาลโรซ์เป็นเวลา 3 ปีและเพื่อนได้รับโทษจำคุก 8 เดือนแต่รอลงอาญาทั้งคู่ สิ่งของที่ขโมยออกมานั้นถูกนำกลับมาไว้ที่เดิมในปี พ.ศ. 2467

หลังจากกลับไปยังกรุงปารีสเขาได้ออกหนังสือพิมพ์ชื่อ  “อินโดจีน” เผยแพร่เรื่องราวของปราสาทต่างๆที่มีอยู่ในประเทศกัมพูชาจนโด่งดังไปทั่วโลกและ ด้วยผลงานที่เป็นนักเขียนและนักศิลปจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2502


เราสองคนฟังคุณเรด สมุทรเล่าถึงเรื่องราวประวัติความเป็นมาของปราสาทบันทายศรีพร้อมแทรกมุกตลกเป็นระยะๆ ในขณะที่เราสองคนเพลิดเพลินกับการฟังเล่าเรื่องราวของปราสาทบันทายศรีอยู่นั้น กองทัพนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศต่างก็กรีฑาทัพเดินเท้าเข้ามาท่องเที่ยวภายในปราสาทบันทายศรีกันจนเนื่องแน่นไปหมด


จนทำให้เราทั้งสามคนจำเป็นต้องละทิ้งที่มั่นถอยออกมาจากปราสาทบันทายศรีมาขึ้นรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่จอดรออยู่บริเวณลานจอดรถ  ไกด์เรด สมุทรเล่าให้เราสองคนฟังว่าในยามเช้าที่ปราสาทบันทายศรีแห่งนี้นักท่องเที่ยวจะมากกว่าปราสาทอื่นๆ เป็นเพราะบริษัททัวร์ทุกๆ บริษัทฯ จะนำพาคณะทัวร์ของตนเองมาท่องเที่ยวยังปราสาทบันทายศรีก่อนเป็นปราสาทแรก


หลังจากนั้นก็จะพานักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวยังปราสาทอื่นๆ ต่อไป


จากนั้นไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนขึ้นออกเดินทางไปตามถนนราดยางโบราณมุ่งหน้าสู่ปราสาทตาพรหม


ระหว่างทางรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างพาเราทั้งสามคนเดินทางผ่านหมู่บ้านทำน้ำตาลผมบอกให้คนขับรถหยุดรถจากนั้นจึงลงจากรถเดินเข้าไปเที่ยวชมกรรมวิธีการทำน้ำตาลจากจาวตาลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นตาล


ไกด์เรดสมุทเล่าให้เราสองคนฟังว่าในอดีตสมัยสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชาเมื่อปี ค.ศ. 1975 ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ถูกพลพตผู้นำเขมรแดงหลอกลวงเป่าหูจนชาวบ้านที่หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นเขมรแดงทั้งหมู่บ้าน หลังจากสิ้นสุดสงครามชาวบ้านทุกคนวางอาวุธหันหน้ามาเข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาลกลับใจมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติกัมพูชาสืบมาจนถึงทุกวันนี้


ปัจจุบันหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่สนอกสนใจของชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากที่เดินทางผ่านมาไม่เคยเห็นกรรมวิธีผลิตน้ำตาลด้วยวิธีธรรมชาติแบบนี้ต่างลงจากรถมาดูกันคล้ายฝรั่งมุงอย่าว่าแต่ฝรั่งมุงเลยครับเราสองคนเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นและเพื่อไม่ให้น้อยหน้าจึงต้องแวะลงมาเป็นไทยมุงด้วยเช่นกัน จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ทั่วทั้งประเทศกัมพูชาตามท้องไร่ท้องนาเราจะเห็นต้นตาลยืนต้นเต็มไปหมดทั่วทุกจังหวัดในประเทศกัมพูชา


ต้นตาลจึงเปรียบเสมือนกับเอกลักษณ์อันโดดเด่นของประเทศกัมพูชารองลงมาจากนครวัด แม้แต่ในปราสาทนครวัดก็ยังมีต้นตาลยืนต้นโดดเด่นเป็นสง่าท้าทายแดดลมมานานนับเป็นร้อย ๆ ปี




ส่วนในประเทศไทยของเรามีต้นตาลอยู่มากก็ที่จังหวัดเพชรบุรีเพียงจังหวัดเดียวครับที่ทำขนมหวานได้อร่อยที่สุดในประเทศไทย


จากนั้นไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนขึ้นรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างออกเดินทางไปตามถนนราดยางโบราณมุ่งหน้าสู่ปราสาทตาพรหมกันต่อ ระหว่างทางรถรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างพาเราสามคนเดินทางผ่านสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เท่ากับสนามฟุตบอล 4 สนาม ไกด์เรดสมุทรเล่าให้เราสองคนฟังว่าสระน้ำที่เห็นอยู่นี้เรียกว่า “สระสรง” สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ในศาสนาพุทธนิกายมหายาน


สระนี้มีขนาดกว้าง 800x400 เมตร ขุดเป็นชั้นลดหลั่นกันบริเวณขอบสระทั้งสี่ด้านเป็นหินทรายล้อมโดยรอบสระทั้ง 4 ด้าน สันนิษฐานว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ใช้เป็นที่สรงน้ำก่อนที่จะเข้าไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในปราสาทบันทายกเดย ที่อยู่ตรงข้ามกับสระสรง ไกด์เรด สมุทรเล่าเป็นมุขติดตลกว่าสระสรงแห่งนี้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่ฝึกซ้อมว่ายน้ำไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ กับ บรรดาทวยเทพต่างๆในนิยายกรีกโบราณ เรียกเสียงหัวเราะจากเราทั้งสองคนลั่นรถ


และในที่สุดไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนเดินทางมาถึงยังปราสาทตาพรหม


เราสองคนเดินเท้าไปตามทางเดินเข้าสู่ตัวองค์ปราสาท เสียงวงมโหรีปี่พาทย์ สล้อ ซ้อ ซึง บรรเลงเพลงพื้นบ้านเขมรดังแว่วมาแต่ไกลบรรเลงโดยนักดนตรีพิการชาวกัมพูชา ซึ่งส่วนใหญ่จะพิการขาขาด เพราะพิษภัยของสงครามครั้งที่ผ่านมา ทุกคนนั่งพับเพียบเรียบร้อยบรรเลงดนตรีพื้นบ้านเขมร โดยมีกล่องรับบริจาคตั้งอยู่ด้านหน้าแล้วแต่จะศรัทธา เสียงดนตรีพื้นบ้านเขมรจากศิลปินพิการชาวกัมพูชาช่วยสร้างบรรยากาศสีสันในการเข้าชมปราสาทตา พรหมเป็นอย่างดี เราสองคนล้วงกระเป๋าหยิบเงินขึ้นมาทำบุญเสียง “ขอบคุณ” จากศิลปินขาพิการตอบกลับมาเป็นภาษาเขมร ถึงจะเป็นชาวกัมพูชาแต่ก็เป็นชาวพุทธเหมือนกันก็ยอมเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันเป็นของธรรมดา การทำบุญไม่เลือกชาติใดศาสนาใดใช่ไหมครับท่านผู้อ่าน


สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวภายในปราสาทตาพรหมแห่งนี้ไม่แตกต่างจากปราสาทบันทายศรีสักเท่าไหร่ แต่เผอิญปราสาทตาพรหมแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าปราสาทบันทายศรีหลายเท่าการเดินเที่ยวชมภายในปราสาทตาพรหมจึงแลดูไม่อึดอัดเหมือนกับปราสาทบันทายศรีที่มีขนาดเล็กกว่า


จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของไกด์เรด สมุทรเริ่มต้นเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของปราสาทตาพรหมให้เราสองคนฟังว่า   ปราสาทตาพรหมสร้างในปลายปีพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1729) ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต่อมามีการขยายพื้นที่สร้างต่อเติมอีกครั้งในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2  ศิลปะแบบบายน ศาสนาพุทธ นิกายมหายาน



ปราสาทตาพรหมจัดได้ว่าเป็นวัดในพุทธศาสนาและเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทางเข้าประกอบไปด้วยโคปุระชั้นนอกและชั้นใน บริเวณผนังที่อยู่เชื่อมระหว่างโคปุระชั้นนอกและชั้นในมีการสลักภาพตามคติธรรมของพุทธศาสนานิกายมหายาน ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1729 เพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 คือพระนางชัยราชจุฑามณีผู้เปรียบประดุจกับพระนางปรัชญาปรมิตา ซึ่งหมายถึงเมื่อพระองค์เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระราชมารดาของพระองค์จึงเปรียบดังพระนางปรมิตาเช่นกัน


ปราสาทตาพรหมถูกสร้างเคียงคู่กับปราสาทพระขรรค์ ซึ่งพระองค์ทรงถวายอุทิศให้กับพระราชบิดา ปราสาทตาพรหมแห่งนี้สร้างหลังปราสาทพระขรรค์เพียง 5 ปีเท่านั้น และที่น่าประหลาดใจก็คือการสร้างปราสาทในยุคนั้น ซึ่งตามศิลาจารึกได้กล่าวถึงบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทแห่งนี้คือ จำนวนคนและบรรดาทรัพย์สินจากหมู่บ้านจำนวนถึง 3,140 หมู่บ้าน ใช้คนทำงานถึง 79,365 คน และจำนวนนี้มีพระชั้นผู้ใหญ่ 18 รูป เจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,740 คน ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,202 คน และนางฟ้อนรำอีก 615 คน


สำหรับทรัพย์สมบัติของวัดก็มีจานทองตำ 1 ชุด หนักกว่า 500 กิโลกรัม และชุดเงินเพชร 35 เม็ด ไข่มุก 40,620 เม็ด หินมีค่าและพลอยต่างๆ 4,540 เม็ด อ่างทองคำขนาดใหญ่ ผ้าบางสำหรับคลุมหน้าจากประเทศจีน 876 ผืน เตียงคลุมด้วยผ้าไหม 512 เตียง ร่ม 523 คัน ยังมีเนย นม น้ำอ้อย น้ำผึ้ง ไม้จันทน์ การบูร เสื้อผ้า 2,387 ชุด


เพื่อแต่ง รูปปั้นต่างๆ กล่าวกันว่าความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อนี้เองเป็นเหตุให้เกิดความล่มสลายของ อาณาจักรขอมในเวลาต่อมา
ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่ถูกปล่อยให้อยู่กับธรรมชาติเป็นเวลานาน หลังจากการค้นพบปราสาทต่างๆโดยนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส แต่เดิมมหาปราสาทนครวัดเองก็อยู่ในลักษณะเช่นนี้เหมือนกันก่อนที่จะมีการบูรณะในต้นพุทธ ศตวรรษที่ 25 ในขณะที่ปราสาทตาพรหม ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อให้เห็นสภาพที่แท้จริงว่าปราสาทอยู่กับธรรมชาติมาได้ เกือบ 1,000 ปี อันเป็นอีกมุมมองหนึ่ง เพื่อให้เห็นลักษณะของต้นสะปงที่มีรากคล้ายหนวดปลาหมึกยักษ์เกาะกุมยึดองค์ปราสาทไว้ไม่ให้พังทลายลงมา


เดิมก่อนการสร้างปราสาทนั้นสภาพพื้นที่ในบริเวณนี้เคยเป็นป่าดงดิบมาก่อน และเมื่อจะสร้างปราสาทหินจึงจำเป็นต้องเคลียร์พื้นที่ให้เป็นที่โล่ง โดยการตัดต้นไม้ออกแต่ในที่สุดแล้วธรรมชาติก็สามารถเอาชนะสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นมาใหม่ได้


กาลเวลาล่วงเลยผ่านมาหลายร้อยปี ต้นไม้เติบใหญ่ขึ้นจนมีรากขนาดใหญ่คล้ายหนวดปลาหมึกยักษ์เกาะกุมชอนไชไปยังส่วนต่างๆ ขององค์ปราสาท ช่วยให้บรรยากาศโดยทั่วไปของปราสาทตาพรหมจึงแลดูลึกลับน่าเกรงขาม แต่แฝงไว้ด้วยความสวยงามไม่เหมือนปราสาทแห่งอื่นๆ


ในปราสาทตาพรหมมีต้นไม้อยู่ 2 ชนิด ต้นที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า ต้นสะปง หรือภาษาไทยเรียกว่า ต้นสำโรง เป็นต้นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน รากของมันจะดูดน้ำใต้ดินขึ้นมาหล่อเลี้ยงทำให้ลำต้นและรากดูป่องและพอง ส่วนพันธุ์ไม้อีกพันธุ์หนึ่งเป็นไม้เลื้อยขึ้นอยู่ตามหน้าบัน ทับหลังหรือตัวปราสาท หลังคา ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก บ้างก็แห้งตายคาอยู่บ้างก็ยังเขียวสดอยู่ เกิดจากการที่นกมาขับถ่ายมูลที่มีเมล็ดของพันธุ์นี้ทิ้งไว้ บริเวณใดของปราสาทที่มีน้ำขังอยู่มีตะไคร่น้ำที่ให้ความชุ่มชื้น ก็สามารถทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเป็นต้นได้ ทั้งไม้เล็กและไม้ใหญ่ต่างเติบโตตามสภาวะที่เอื้ออำนวยรากของไม้ใหญ่ที่แทรกชอนไชไปบนแผ่นหินเพื่อจะหาที่ลงดินเกิดเป็นรูปทรงคล้ายหนวดปลาหมึกยักษ์เกาะกุมองค์ปราสาทเอาไว้ไม่ให้พังลงมา

 และจากโคปุระทางด้านทิศตะวันออกมุ่งสู่ปรางค์ประธาน ผนังด้านซ้ายมือจะเป็นภาพสลักของคติธรรมทางพุทธศาสนาตอนพระแม่ธรณีบีบมวยผม ซึ่งเป็นตอนที่มารมาผจญเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็น พระพุทธเจ้า ลักษณะของภาพจะแลเห็นบรรดาเหล่าพญามารต่างตื่นตกใจหนีกระแสน้ำที่เกิดจากการบีบมวยผมของพระแม่ธรณีจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด


หลังจากโคปุระทางด้านทิศตะวันออกจะมีบรรณาลัยที่อยู่ทางซ้ายมือ หน้าบันเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประดับด้วยพวงมาลัย ทับหลังเป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์
หน้าบันและทับหลัง ตามปรางค์ปราสาทและโคปุระ มีภาพสลักล้วนแต่เกี่ยวกับพุทธประวัติ นิกายมหายานเป็นส่วนใหญ่ น่าเสียดายว่าภาพสลักบางภาพได้ถูกดัดแปลงให้เป็นภาพ เกี่ยวกับศาสนาฮินดูไปในที่สุด ได้แก่พระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าที่ถูกสกัดให้เป็นศิวลึงค์ในสมัยพระเจ้าชัย วรมันที่ 8 ที่ทรงเลื่อมใสในศาสนาฮินดู
ทางเข้าสู่ปรางค์ประธานจะอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเช่นเดียวกับในหลายๆ ปราสาท ทว่าปัจจุบันมีถนนตัดผ่านทั้ง 2 ทิศ นักท่องเที่ยวนิยมเข้าทางทิศตะวันตก ถ้าเป็นไปได้ควรจะเข้าทางโคปุระทางทิศตะวันออก อันเป็นคตินิยมของผู้สร้างปราสาทขอมทุกแห่ง


ถัดจากบรรณาลัยจะได้พบวิหารเล็กๆ ซึ่งใช้เป็นที่ประกอบพีธีของพวกพราหมณ์ ซึ่งวิหารนี้จะมีการจุดไฟบูชาตลอดทั้งวันทั้งคืน เช่นเดียวกับปราสาทพระขรรค์ ปรางค์ทางด้านทิศเหนือได้พังทลายลงมาหมดแล้ว เห็นแต่เพียงซากของเสาหน้าบันและทับหลังทับซ้อนกันระเกะระกะ


ทางก่อนจะเข้าโคปุระชั้นที่ 3 จะพบต้นสะปงขนาดใหญ่ ขึ้นปกคลุมตรงส่วนกลางของปราสาทแห่งนี้ ลำต้นขึ้นอยู่บนหลังคา โดยมีรากโอบอุ้มตัวปราสาทอยู่ก่อนจะชอนไชลงพื้นดิน เป็นมุมที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันมาก          หน้าบันที่อยู่ถัดจากปรางค์ประธาน เป็นภาพเรื่องรามเกียรติ์ตอนพระลักษณ์ พระราม และนางสีดาถูกขับไล่ออกจากเมือง จะเห็นพระรามเสด็จออกโดยมีม้าเป็นพาหนะ มีไพร่ฟ้าประชาชนตามส่งเสด็จที่สะดุดตาและแปลกคือภาพสลักข้างเสากรอบประตู ของโคปุระชั้นที่ 3 ด้านทิศตะวันตก มีภาพสลักคล้ายไดโนเสาร์อยู่ 1 ตัว เมื่อเดินมาสุดทางที่จะออกปราสาทตาพรหม ก็จะพบโคปุระซึ่งมีลักษณะคล้ายทางเข้าสู่กำแพงเมืองนครธมแห่งเมืองพระนคร นั่น คือภาพใบหน้าของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทั้ง 4 ทิศ อยู่เหนือโคปุระนั้น


ปราสาทตาพรหมแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นฉากในภาพยนต์ฮอลีวู้ดเรื่อง “ทูมไรเดอร์”  ที่นำแสดงโดย แองโจลี่น่า โจลี่ นางเอกคนสวยภรรยาสาวของแบดพิทท์ ออกฉายจนโด่งดังไปทั่วโลก และจากภาพยนต์เรื่องนี้เองทำให้ปราสาทตาพรหมเป็นที่ รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลกตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


เราสองคนเดินเที่ยวชมภายในปราสาทตาพรหมจนสมควรแก่เวลาจากนั้นไกด์เรด สมุทรของเราเดินมาบอกเราว่าได้เวลาอาหารกลางวันแล้วเดี๋ยวจะหน้ามืดเป็นลมเป็นแล้งไป
เราสองคนนั่งรถรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างใช้เวลาเพียง 15 นาที ก็เดินทางมาถึงภายในเมืองเสียมเรียบจากนั้นจึงตรงไปที่ภัตตาคารเจ้าพระยา ซึ่งในปัจจุบันถูกเปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น ภัตตาคารจัตุรมุข  ซึ่งมีเจ้าของคนเดียวกันกับภัตตาคารโตนเลสาป ภัตตาคารทะเลแม่โขง และก็มีผู้จัดการคนเดียวกันก็คือ คุณชัยพฤกษ์ ภูมิเมือง ผู้จัดการโรงแรม Tara Angkor Hotel นั่นเองครับจากนั้นจึงพูดคุยทักทายไต่ถามสาระทุกข์สุขดิบกับคุณชัยพฤกษ์ ภูมิเมืองหรือชื่อเล่นว่าคุณต้อมในฐานะคนคุ้นเคยกันมานาน


สำหรับภัตตาคารจัตุรมุขตั้งอยู่ห่างจากโรงแรม Tara Angkor Hotel ระยะทางประมาณ 100 เมตร บนเส้นทางถนนสู่ปราสาทนครวัดเยื้องกับพิพิธภัณฑ์เมืองเสียมเรียบ

ภายในภัตตาคารจัตุรมุขโอ่โถงกว้างขวางโดยมีเมนูอาหารมากมายหลากหลายชนิด ทั้งอาหารไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่นและอาหารเขมร ซึ่งถูกจัดในรูปแบบของบุฟเฟ่ต์นานาชาติให้นักท่องเที่ยวได้เลือกรับประทาน เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวประเภทวอคล์อินในราคาค่าบริการคนละ 12-15 ยูเอสดอลล่าร์ต่อหนึ่งอิ่ม


  เราสองรับประทานอาหารกลางวันด้วยความเอร็ดอร่อยตบท้ายด้วยกาแฟคนละแก้ว


จากนั้นจึงออกมานั่งรับลมร้อน เอ๊ย!ไม่ใช่ครับรับลมเย็น ๆ ที่บริเวณหน้าร้านจัตุรมุขเพื่อรอเวลาออกเดินทางไปท่องเที่ยวยังปราสาทต่างๆ อีกครั้งในช่วงบ่ายครับ
เมื่อได้เวลาไกด์เรด สมุทรพาเราสองคนเดินทางผ่านปราสาทปักษีจำกรงสร้างขึ้นในปลายพุทธศตวรรษที่ 15 ราวปี พ.ศ.1471 ในรัชสมัยของพระเจ้าหรรษาวรมันที่ 1 และต่อมาได้รับการบูรณะใหม่ในรัชสมัยของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 เป็นศิลปะแบบบาเเคงและเ กาะแกร์รวมกัน



 สำหรับชื่อที่มาของปราสาทปักษีจำกรงนั้นมาจากนิยายปรำปราพื้นบ้านของชาวเขมร เล่าสืบต่อกันมาว่ามีพญาปักษีได้นำพระราชโอรสของพระราชาองค์หนึ่งซึ่งตกอยู่ในอันตรายระหว่างการแย่งชิงราชสมบัติกันเองในพระราชวังไปเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ หลังจากนั้นพระราชโอรสองค์ดังกล่าวจึงกลับมากอบกู้ราชสมบัติคืนมาได้และปราบดาภิเษกพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ซึ่งต่อมาพระองค์จึงได้ทรงสร้างปราสาทปักษีจำกรงขึ้นเพื่อทดแทนบุญคุณของพญาปักษี จากปราสาทปักษีจำกรงกระเถิบขึ้นมาอีกนิดหนึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาททามอบายกะแอก ซึ่งสร้างขึ้นในสมัย พุทธศตวรรษที่ 15 ในรัชสมัยของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 เป็นศิลปแบบบาเค็งในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย ตั้งอยู่ด้านหน้าของปราสาทเบยซึ่งถูกสร้างขึ้นในสมัยเดียวกันแต่ในปัจจุบันแทบจะไม่หลงเหลือโครงสร้างเดิมอยู่เลย มีก็แต่เพียงฐานของอิฐและแท่งศิวลึงค์ตั้งอยู่บนฐานของโยนีเท่านั้น


สำหรับชื่อที่มาของปราสาทแห่งนี้เกิดขึ้นจากการบูรณะองค์ปราสาทเมื่อปี พ.ศ. 2503 ชาวบ้านที่มาทำงานซ่อมแซมปราสาท นั่งพักรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่บริเวณโดยรอบองค์ปราสาทเมื่ออิ่มแล้วก็ ทิ้งเศษข้าวที่เหลือไว้โค่นต้นไม้ซึ่งต่อมามีอีกามากินเศษอาหารที่เหลือทิ้ง ไว้และส่งเสียงร้องลั่นไปทั่วบริเวณปราสาทจึงเป็นที่มาของชื่อปราสาทแห่งนี้ คือ ทะมอ(หิน) บาย(ข้าว) กะแอก(อีกา) แปลได้ความว่า “อีกาหินกินข้าว” ครับ
รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างของเรามาหยุดลงตรงประตูทางเข้าเมืองพระนครซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับปราสาททามอบายกะแอกเพื่อถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งครั้งหนึ่งที่ได้มีโอกาสเดินทางมาเยือนเมืองพระนครแห่งนี้เราสองคนไม่รอช้าจัดแจงลงจากรถเพื่อบันทึกภาพในทันที


จากนั้นจึงเดินเท้าข้ามสะพานโบราณซึ่ง มีอายุประมาณพันกว่าปีเข้าสู่ประตูเมืองพระนครทางด้านทิศใต้เมืองพระนครหรือที่เราเรียกกันว่านครธมแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำมีความ กว้างประมาร 80 เมตร กำแพงแต่ละด้านมีความยาวถึง 3 กิโลเมตรโดยมีกำแพงก่อขึ้นด้วยศิลาแลงสูง 7 เมตรล้อมรอบทั้งหมด 4 ด้าน มีพื้นที่ 5,625 ไร่ เรียกว่ากว้างขวางใหญ่โตเอาการอยู่น่ะครับคล้าย กับเมืองๆ หนึ่งเลยทีเดียว บริเวณสองข้างทางของราวสะพานโบราณที่ทอดตัวยาวเข้าสู่ประตู เมืองพระนครมีรูปหินทรายแกะสลักแบบลอยตัวส่วนหัวเป็นรูปแกะสลักของพญานาควาสุกรีจากนั้นไล่เรื่อยลงมาเป็นรูปของเหล่าเทวดากำลังเล่นชักคะเย่อกับพญานาควาสุกรีมีจำนวน 58 องค์ ซึ่งถ้าเป็นเทวดาหน้าตาจะดูสะอาดหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาคล้ายดาราหนัง เกาหลีแถมสวมมงกุฎชฏาบอกยี่ห้อให้ทุกคนได้รู้ว่าข้านี่แหล่ะคือตัวพระเอกของ เรื่องรามเกียรติ์



ส่วนทางด้านขวามือเป็นรูปของเหล่ายักษ์อสูรกำลังเล่นชักคะเย่อโดยใช้ลำตัวของพญานาควาสุกรีเป็นเชือก เฉกเช่นเดียวกับเทวดาที่มีจำนวน 58 องค์เหมือนกันซึ่งถ้าเป็นยักษ์จะมีหน้าตาบอกยี่ห้อเลยว่าข้าเป็นยักษ์ชัวร์คือ ทรงผมจะหยิก หน้าก้อ คอสั้น แถมตาโปนอีกต่างหาก


เป็นลักษณะเฉพาะตัวเพื่อให้คนทั่วไปได้รู้ว่าข้านี่แหล่ะคือตัวผู้ร้ายขาประจำในเรื่องรามเกียรติ์ทั้งยักษ์และเทวดาต่างช่วยกันฉุดกระชากลากถูชักเย่อกันโดยใช้ลำตัวของพญานาควาสุกรีแทนเชือก ทั้งยักษ์และเทวดาเล่นชักเย่อกันมาหลายพันปีหน้าตาของยักษ์และเทวดาบ่งบอกเลยว่าอ่อนระโหยโรยแรงเพราะเล่นชักเย่อกันมาเกือบพันปี แต่ก็ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะกันสักทีหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าทั้งยักษ์และเทวดาจะเล่นชักเย่อกับพญานาควาสุกรีไปอีกนานสักกี่ร้อยกี่พันปีถึงจะทราบว่าใครเป็นผู้ ชนะ เฮ้อ! ทำเอาเราสองคนเหนื่อยใจแทนทั้งยักษ์และเทวดาสำหรับเศียรบางเศียรของยักษ์และเทวดาที่ถูกมือไม่ดีขโมยตัดเอาไปนั้นซึ่งต่อมาทางกองโบราณคดีของกัมพูชาได้หามาทดแทนโดยการแกะสลักขึ้นมาใหม่จากนั้นจึงนำมาตั้งไว้ที่เดิมซึ่งจะสังเกตุได้ว่าถ้าหากเป็นเศียรใหม่เนื้อหินที่นำมาแกะสลักจะเป็นหินทรายสีชมพูมองดูใหม่ๆ แสดงว่าเป็นของใหม่ชัวร์เช่นเศียรของเทวดาเศียรนี้ครับเป็นของที่แกะสลักขึ้นใหม่


 แต่ว่าถ้าหากเป็นเศียรเก่าจะไม่มีร่องรอยของการตัดแต่จะมีคราบตะไคร้น้ำสีเขียวออกดำเกาะติดกันจนเต็มไปหมดทั้งเศียรยักษ์และเศียรเทวดาเพราะตั้งเด่นเป็นสง่าท้าทายแดดลมมานานนับพันปี เศียรที่มีตะไคร้น้ำสีเขียวๆ ดำๆนี้ล่ะครับแสดงว่าเป็นเศียรจริงแท้แน่นอนเช่นเศียรยักษ์เศียรนี้ล่ะครับ


ส่วนเศียรเก่าที่ถูกมือไม่ดีขโมยตัดเอาไปและถูกตามกลับคืนเอามาได้นั้น ปัจจุบันถูกนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติในกรุงพนมเปญเพราะถ้าขืนนำมาตั้งไว้ที่เดิมอีกก็มีสิทธิหายได้อีกเหมือนกันครับ
จากนั้นเราสองคนจึงเดินเท้าข้ามสะพานโบราณเข้าสู่ประตูเมืองพระนคร


 สำหรับประตูเมืองพระนครที่เราสามคนกำลังจะเดินเท้าผ่านเข้าไปนี้คือประตูเมืองทางด้านทิศใต้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ชาวขอมโบราณเชื่อกันว่าใครก็ตามที่ได้มีโอกาสเดินผ่านประตูนี้เข้าไปยังเมือง พระนครอายุจะยืนยาวราวกับได้รับการปะพรมด้วยน้ำอมฤตชีวิตจะเป็นอมตะแต่มีวันตาย เอ๊ะ! พูดยังไงแปลกๆ เล่าเรื่องกันต่อเถอะครับ สำหรับยอดบนสุดของซุ้มประตูเมืองพระนครหรือที่เรียกกันว่าโคปุระมีลักษณะเป็นหินทราย แกะสลักเป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโรติเกศวรภาคหนึ่งของพระพุทธเจ้าทั้งสี่ด้านรวมกันมีสี่หน้า แต่บางคนก็เชื่อกันว่าเป็นใบหน้าของจัตุโลกบาลผู้รักษาทิศทั้งสี่ทิศเพราะใบ หน้าทั้งสี่หน้ามีรูปลักษณะไม่ค่อยคล้ายกันมากนัก


 ส่วนบริเวณริมขอบประตูทาง เข้าเมืองพระนครจะมีรูปจำหลักของพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณสามเศียรงวงยาวจนปลายของงวงทั้งสามลงมาแตะที่ดอกบัว ส่วนขนาดของประตูเมืองค่อนข้างแคบมีความกว้างของประตูพอที่ช้างศึกจะเดินผ่านได้เพียงตัว เดียวเท่านั้นครับ


ดังนั้นรถโดยสารที่จะพาคณะทัวร์เข้าไปท่องเที่ยวยังเมืองพระนครหรือนครธมจะต้องใช้บริการรถตู้ขนาดเล็ก 12-30 ที่นั่งเท่านั้นหรือไม่ก็รถตุ๊กตุ๊กถึงจะผ่านเข้า-ออก ยังประตูแห่งนี้ได้เพราะบรรดาสถาปนิกขอมโบราณไม่ได้นึกถึงว่าในอนาคตเมืองพระนครจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมเหมือนเช่นทุกวันนี้ไม่เช่นนั้นแล้วคงจะออกแบบประตูเมืองเผื่อเอาไว้ให้รถโดยสารท่องเที่ยวขนาดใหญ่ผ่านเข้าออกได้ง่าย และเมื่อพันกว่าปีที่ผ่านมาประตูแห่งนี้เคยใช้เป็นเส้นทางเดินทัพของกองทัพพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงกรีฑากองทัพขอมอันยิ่งใหญ่และเกรียงไกรมากมายไปด้วยเหล่าบรรดาขุนศึกนายกอง ตลอดจนช้าง ม้า วัว ควาย หลายร้อยหลายพันเชือกพร้อมเสียงกลองศึกกลองมโหระทึกดังสนั่นลั่นไปทั่วโดยมี ชาวบ้านโปรยข้าวตอกดอกไม้อวยชัยให้พรตลอดสองข้างทางที่เดินทัพออกจากเมือง พระนครผ่านประตูเมืองแห่งนี้ออกไปทำศึกสงครามกับกองทัพจามศัตรูของขอมโบราณในสมัยนั้น ท่านผู้อ่านลองหลับตานึกภาพดูซิครับว่ากองทัพขอมจะยิ่งใหญ่และเกรียงไกรขนาดไหนซึ่งใน เวลานั้นประเทศไทยยังไม่ได้เกิดขึ้นมาบนแผนที่โลกเลยครับ  สำหรับการเดินทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จะเดินทัพออกจากประตูเมืองแห่งนี้เปรียบเสมือนกับการเดินทัพผ่านการปะพรมน้ำพระพุทธ มนต์จากพระสงฆ์ในปัจจุบันเพราะการชักคะเย่อกันของยักษ์และเทวดากับพญานาควาสุกรีนั้นก็คือการกวนเกษียณสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอมฤตชีวิตจะได้เป็นอมตะอยู่ยงคงกระพันชาตรีนั่นเองล่ะครับ ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวขอมโบราณที่ สืบทอดกันมาแต่นมนาน และเพราะการกวนเกษียณสมุทรนี้เองทำให้เทวดากับยักษ์ที่แต่ก่อนเคยเป็นเพื่อนซี้กอดคอจีบผู้หญิงคนเดียวกันกลับกลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน เจอกันที่ไหนเป็นไม่ได้ท้ารบกันจนฟ้าถล่มดินทลายเล่นเอาชาวบ้านตาดำๆ บนโลก มนุษย์เดือดร้อนกันไปตามๆ กัน สำหรับสาเหตุเกิดจากอะไรและทำไมเทวดากับยักษ์จึงได้ทะเลาะเบาะแว้งจ้องที่จะจองล้างจองผลาญกันเป็นประจำเล่ากันสามวันสามคืนก็ไม่จบครับยาวตายโฮ้งเลยครับ ดังนั้นกรุณาไปหาอ่านกันเอาเองในเรื่องรามเกียรติ์ก็แล้วกันน่ะครับ


และเมื่อเราสองคนเดินเท้าผ่านเข้ามาในเมืองพระนครแห่งนี้ก็ทำให้ฉุกคิดถึง ครั้งหนึ่งกองทัพสยามของสมเด็จพระราชาธิราชที่ 1 (เจ้าสามพระยา) เคยยกกองทัพมาตีเมืองพระนครในปี พ.ศ 1874 หลังพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสิ้นพระชนม์ลงแล้ว อาณาจักรขอมเริ่มอ่อนแอลง กองทัพสยามได้รับชัยชนะเหนือกองทัพขอมและต่อมาอาณาจักรขอมอันยิ่งใหญ่และ เกรียงไกรก็ถึงกาลล่มสลายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
จากประตูเมืองพระนครมีเส้นทางลาดยางความยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตร มุ่งหน้าตรงไปยังปราสาทบายนซึ่งตลอดสองข้างทางร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ ใหญ่เหมือนเดินทางย้อนเวลากลับมาสู่เส้นทางโบราณเมื่อพันปีที่ผ่านมา และในที่สุดไกด์เรดมุทรก็พาเราสองคนเดินทางมาถึงยังปราสาทบายนภายในเมืองพระนคร


และเมื่อเราสามคนเดินเท้าขึ้นมายังระเบียงคตด้านบนก็ต้องตื่นตะลึงกับใบหน้า ขนาดใหญ่หลายร้อยใบหน้าซึ่งตั้งอยู่บนปรางค์ประธานทั้ง 54 ปรางค์ๆ ละ4 หน้าแต่ละหน้าหันพระพักตร์ออกไปทั้ง 4 ทิศ รวมทั้งหมด 216 หน้า คอยจ้องมองเราสามคนไม่ว่าจะเดินเท้าไปยังมุมไหนของตัวปราสาทหลังนี้สายตาเหล่านี้ ก็จะคอยจ้องมองเราสามคนอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ให้คลาดสายตา


นักโบราณคดีเชื่อกันว่าใบหน้าที่จ้องมองเราสองคนอยู่ในขณะนี้คือใบหน้าของ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรศมันตมุขผู้คุ้มครองศาสนาพุทธนิกายมหายาน


แต่สำหรับนายยอรซ์ เซเดซ์ ศาสดาจารย์ทางโบราณคดีชาวฝรั่งเศสเชื่อว่าอาจเป็นพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (อวตารของเทพเจ้าลงมายังโลกมนุษย์) นัยน์ตากึ่งหลับเหมือนกับกำลังเจริญวิปัสสานากรรมฐานพร้อมกับเฝ้ามองดู ทุกข์สุขของเหล่าพสกนิกรของพระองค์  ริมฝีปากยิ้มอย่างมีความสุขบ่งบอกถึงความมีเมตตาธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนใบหน้าทั้งสี่หน้านั้นแทนพรหมวิหารสี่คือความมีเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา
ซึ่งจะต้องมีอยู่ในจิตใจของ กษัตริย์ขอมทุกๆ พระองค์ที่ขึ้นมาครองราชย์ แต่ในปัจจุบันมีความเชื่อใหม่ขึ้นมาอีกว่าอาจเป็นพระพักตร์ของพระพรหมผู้ สร้างโลกและมนุษย์นั่นเอง ส่วนคำว่า “บายน” มาจากชื่อว่า “ไพชยนต์” เป็นชื่อของปราสาทอันเป็นที่ประทับของพระอินทร์


สำหรับผู้สร้างปราสาทแห่งนี้คือพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ครองราชย์ราวปี พ.ศ. 1724-1761 พระองค์ทรงสร้างเมืองพระนครแห่งนี้ขึ้นและทรงนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ซึ่งแตกต่างไปจากกษัตริย์ขอมองค์อื่นๆ ที่นับถือศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาฮินดูเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นปราสาทบายนแห่งนี้จึงยกย่องพระเจ้าชัยวรมันที่ 7  เปรียบเสมือนกับอวตารของพระวิษณุเทพหรือพระนารายณ์นั่นเอง


สำหรับปราสาทบายนประกอบด้วยระเบียงคตสองชั้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ระเบียงคตชั้นนอกมีขนาดความกว้าง 140 เมตร ยาว160 เมตร ส่วนระเบียงคตชั้นในมีความกว้าง 70 เมตร ยาว 80 เมตร โดยรอบองค์ปราสาทบายนแบ่งออกเป็นสามชั้นประกอบด้วยชั้นของระเบียงคตด้านนอก และชั้นของระเบียงคตด้านใน


ส่วนชั้นบนสุดเป็นปรางค์ประธานและปรางค์บริวาร ทุกๆ ปรางค์มีภาพแกะสลักใบหน้าของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรมีขนาดใหญ่ที่สุด 2.50 เมตร หันหน้าไปทั้ง 4 ทิศ และด้วยกาลเวลาที่ผ่านมาเกือบพันปีและสภาวะสงครามภายในประเทศที่ผ่านมายาวนานทำให้ปรางค์ประธานพระพักตร์บนยอดสุดของปราสาทบายนพังทลายลงมาซึ่งรวมทั้งหลังคาของระเบียงคตชั้นนอกที่มุงด้วยหินทรายพังทลายลงมากองอยู่กับพื้น ด้านในของปราสาทบายน


สำหรับผนังของตัวปราสาทบายนทั้ง 4 ทิศมีความยาว 35 เมตร สูง 3 เมตร ถูกแกะสลักตลอดแนวเป็นภาพนูนต่ำของกองทัพพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กำลังทำสงครามยุทธนาวีกับกองทัพจามซึ่งนักรบขอมจะไม่สวมหมวกไม่สวมรองเท้า แต่ใส่เสื้อยันต์อักขระขอมโบราณกันเหนียวพร้อมกองทัพพันธมิตรแต่ไม่ใส่เสื้อเหลืองน่ะครับแต่งตัวแบบพวกมองโกลมีหนวดเครารุงรัง


ส่วนกองทัพจามจะสวมหมวกเป็นรูปดอกบัว บริเวณด้านหลังของกองทัพขอมจะเป็นกองเสบียงหลังมีโคเทียมเกวียนบรรทุกเสบียง อาหาร คนหาบหมูไปเป็นเสบียงในระหว่างการทำศึกสงครามกับพวกจามภาพทหารขอมใช้หอกแทงทหารจาม ภาพทหารขอมทำยุทธนาวีรบชนะทหารจามแทงทหารจามตกเรือลงไปในโตนเลสาปถูกจระเข้ งับกินเป็นอาหาร


ภาพกองทัพจามยกทัพเรือมาทางโตนเลสาปเข้าตีเมืองพระนครแต่ประสบกับความพ่ายแพ้ถูกทหารขอมไล่ตีจนแตกทัพหนีกันกระเจิงน้ำบาน


นอกจากนี้ยังมีภาพแกะสลักการแสดงละครสัตว์ในราชสำนักขอมและการร่ายรำของบรรดานางสนมต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้าชัย วรมันที่ 7 ตลอดจนภาพในชีวิตประจำวันของชาวขอมในสมัยนั้นเช่นการชนไก่,การก่อไฟย่างปลา,การคลอดลูกด้วยหมอตำแย ฯลฯ


ส่วนผนังปราสาทด้านนอกทางทิศตะวันตกถูกแกะสลักเป็นรูปมหากาพย์รามมายนะตอนยักษ์กับเทวดากำลังกวนเกษียณสมุทรชักเย่อกันเพื่อเอาน้ำอมฤตชีวิตจะได้เป็นอมตะตลอดกาล


ในขณะที่มหาปราสาทนครวัดมีภาพแกะสลักภาพมหาภารตะยุทธและรามายนะในศาสนา ฮินดูลัทธิไวษณพนิกายที่นับถือองค์พระวิษณุเทพเป็นใหญ่ตามที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงนับถือ แต่ที่ปราสาทบายนในเมืองพระนครสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นี้ได้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของขอมโบราณในสมัยเมื่อเกือบพันปีที่ผ่านมา


ซึ่งหากจะเปรียบเทียบภาพแกะสลักทั้งสองปราสาทนี้แล้วปราสาทบายนแห่งนี้อาจ จะมีความปราณีตงดงามของการแกะสลักดูจะด้อยกว่าภาพแกะสลักที่มหาปราสาทนครวัดอยู่ บ้างแต่สามารถดูภาพได้ง่ายและเข้าใจความหมายของภาพมากกว่าที่มหาปราสาทนครวัด ปราสาทบายนเป็นพุทธศาสนสถานไม่ใช่เทวสถานจึงไม่มีภาพแกะสลักอันสละสลวยมโหฬารตระการตาด้วยนิยายปรัมปราพื้นบ้านของฮินดูเรื่องรามเกียรติ์ เช่น ภาพมหาภารตะยุทธและรามายนะ เหมือนเช่นที่มหาปราสาทนครวัด


 มีแต่ภาพที่แสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวขอมโบราณในสมัยนั้น และการทำสงครามทางยุทธนาวีกับพวกจาม ทุกภาพที่แสดงเป็นการแกะสลักมาจากความเป็นจริงไม่ใช่ เรื่องเล่าการแสดงอภินิหารจากเทพเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดในศาสนาฮินดูเหมือนกับภาพแกะสลักที่แสดงอยู่บริเวณผนังของมหาปราสาทนครวัด


สำหรับสิ่งที่น่าสนใจซึ่งถูกบรรดานักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มองข้ามไปก็คือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในมุมมืดแห่งหนึ่งบริเวณระเบียงคตชั้นในของปราสาทบายนเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าแม่ทัพนายกองและทหารหาญของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ใช้ ดื่มกินก่อนที่จะกรีฑาฑัพออกไปทำศึกสงครามกับบรรดาอริราชศัตรูและได้รับชัย ชนะกลับมาทุกครั้ง
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีน้ำใสสะอาดตลอดปีชาวกัมพูชาที่เลื่อมใสศรัทธา นิยมนำภาชนะมาบรรจุน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไปดื่มกินกันเป็นประจำ โดยมีความเชื่อมาตั้งแต่ครั้งโบราณว่าน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บและนำมาชำระร่างกายเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว


เราสองคนเดินเที่ยวชมความมหัศจรรย์ในการสร้างปราสาทบายนจนสมควรแก่เวลา



จากนั้นจึงเดินออกมายังลานช้างซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของเมืองพระนครห่างจากปราสาทบายนระยะทางประมาณ 200 เมตร


ลักษณะเป็นระเบียงก่อสร้างด้วยหินทรายและศิลาแลงความยาวประมาณ 350 เมตรสูงจากพื้นดิน 3 เมตร บริเวณผนังทางด้านพลับพลาที่ประทับเป็นหินตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของประตู พระราชวังโดยมีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้านคือมุขของช้างเอราวัณและมุขครุฑโดยมี บันไดขึ้นลง 5 ทางส่วนบันไดใหญ่สุดตรงกลางใช้เป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์ในการเสด็จพระราชดำเนินมาร่วมในงานประเพณีต่างๆ รวมใช้ในการตรวจพล สวนสนามของเหล่าแม่ทัพนายกองก่อนที่จะออกเดินทางไปทำศึกสงครามกับอริราชศัตรู

ใกล้กับลานช้างเป็นลานของพระเจ้าขี้เรื้อนสร้างขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 18-19 ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และบูรณะใหม่ในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ศิลปะแบบบายนนิกายมหายาน


บริเวณลานพระเจ้าขี้เรื้อนแห่งนี้ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าใช้ในการตัดสินลงโทษผู้ กระทำความผิดโดยมีความยาว 25 เมตร สูง 6 เมตร ภายในมีช่องทางเดินแคบๆ คล้ายกับทางเดินในเขาวงกตผนังของทางดินมีภาพของพญายมและนางนาคอยู่ทั้งสองข้างเล่าเรื่องราวถึงเมืองบาดาลอันเป็นที่อยู่ของนางนาค


และในที่สุดไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนเดินทางถึงมหาปราสาทนครวัดในยามแดด ร่มลมตกซึ่งหลังจากตรวจบัตรเข้าชมภายในของมหาปราสาทนครวัดจากเจ้าหน้าที่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราสองคนไม่รอช้าให้เสียเวลาเดินเท้าไปตามสะพานนาคราชข้ามคูเมืองที่มีความ กว้างประมาณ 100 เมตร



 มุ่งหน้าเข้าสู่ปราสาทชั้นในสุดของมหาปราสาทนครวัดซึ่งจากระยะทางจากประตูทางเข้าสะพานนาคราชจนถึงปรางค์ปราสาทชั้นในสุดมีความยาวประมาณ 500 เมตร เรียกว่าเดินกันจนเหงื่อตกเพราะระยะทางไกลเอาการอยู่เหมือนกันน่ะครับ


ก่อนที่จะเดินเท้าถึงปรางค์ปราสาทชั้นในสุดเราสองคนต้องเดินเท้าไปตามสะพาน นาคราชผ่านโคปุระชั้นนอกสุดซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันตกโดยมีระเบียงคตความยาวประมาณ 200 เมตร อยู่ติดกับคูน้ำชั้นนอกสุดตั้งตระหง่านอยู่ก่อนถึงตัวปราสาทชั้นในสุด


สำหรับระเบียงคตชั้นนอกสุดเป็นที่ประดิษฐานประติมากรรมลอยตัวขององค์พระวิษณุเทพหรือพระนารายณ์เทพสูงสุดในศาสนาฮินดูลัทธิไวษณพนิกายที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงเคารพนับถือ โดยพระองค์ทรงมีความเชื่อว่าพระองค์คืออวตารขององค์พระวิษณุเทพหรือพระนารายณ์ อวตารลงมาปกครองโลกโดยเป็นทั้งกษัตริย์และเทพเจ้าในองค์เดียวกันตามความเชื่อของศาสนาฮินดูลัทธิเทวราชาองค์พระวิษณุเทพหรือพระนารายณ์ทรงประทับอยู่ ในท่ายืนสภาพชำรุดทรุดโทรมโดยพระกรรณฐ์ที่ทรงศาสตราวุธนานาชนิดถูกมือไม่ดีขโมย ตัดเอาไปจนเกือบหมด มีชาวเขมรเดินทางมากราบสักการะบูชาองค์พระวิษณุเทพกันอย่างคับคั่งกลิ่นธูป ควันเทียนอบอวลไปทั่วบริเวณ


จากนั้นเราสองคนจึงเดินเท้าไปตามสะพานนาคราช ก้าวเข้าสู่มหาปราสาทนครวัด 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างเต็มตัว


ความยิ่งใหญ่อลังการของปราสาท นครวัดนั้นไม่ได้มาจากเพียงแค่ขนาดอันใหญ่โตมโหฬารของตัวปราสาทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ และตำนานที่ซ่อนตัวภายในตัวปราสาทอีกด้วย

สำหรับมหาปราสาทนครวัดถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ.1656- พ.ศ1693) ทรงครองราชย์อยู่นานถึง 37 ปี และทรงสร้างมหาปราสาทนครวัดถวายแด่องค์พระวิษณุเทพหรือพระนารายณ์โดย เทวสถานแห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่หล่อหลอมดวงวิญญาณของพระองค์กับพระวิษณุเทพให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจนกลายมาเป็นเทวะราชา แห่งชนชาติขอมโบราณตามความเชื่อของศาสนาฮินดูที่พระองค์ทรงนับถือ



ครั้นเมื่อพระองค์ทรงเสด็จสวรรคตลงไปแล้วก็จะอัญเชิญพระบรมศพของพระองค์ มาบรรจุไว้ใต้ฐานเทวรูปบริเวณปรางค์ปราสาทองค์ประธานเพื่อหล่อหลอมดวงวิญญาณ ของพระองค์ให้กลับชาติมาจุติเป็นกษัตริย์อีกครั้งหนึ่ง


สำหรับมหาปราสาทนครวัดแห่งนี้ได้รับการขนานนามหลังพระองค์เสด็จสวรรคตว่า “พระบรมวิษณุโลก” ต่อมาศาสนาพุทธเริ่มเข้ามามีบทบาทในอาณาจักรขอมจึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น “ มหาปราสาทนครวัด” จนถึงทุกวันนี้
ส่วนฝรั่งเรียกว่าอังกอร์ (Angkor) มาจากคำว่า “นคร” สาเหตุเพราะฝรั่งออกเสียงเรียกคำว่านครไม่ได้จึงออกเสียงว่า อังกอร์ แทน
มหาปราสาทนครวัดถูกล้อมรอบไว้ด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ความยาว 1.5 กิโลเมตร ความกว้างของคูน้ำ 1.3 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมด 1,219 ไร่ มหาปราสาทนครวัดหันหน้าไปทางทิศตะวันตกคือทิศแห่งความตาย

กำแพงชั้นนอกสุดสร้างขึ้นด้วยศิลาแลงความยาวหลายกิโลเมตรตามความเชื่อของ ศาสนาฮินดูที่จำลองรูปแบบมาจากเขาพระสุเมรุอันเป็นที่อยู่ของเหล่าบรรดาทวยเทพนั่นคือปรางค์ประธานองค์กลาง ส่วนปรางค์ประธานที่ล้อมรอบปรางค์ประธานองค์กลางทั้งสี่ทิศเปรียบประดุจขุน เขาน้อยใหญ่ที่รายล้อมเขาพระสุเมรุคือสัญญลักษณ์ของระบบสุริยะจักรวาล


ส่วนปรางค์ประธานองค์กลางคือศูนย์กลางของโลกและจักรวาลตามความเชื่อของศาสนา ฮินดูนั่นเอง สำหรับปรางค์ประธานทั้ง 5 ปรางค์ตั้งอยู่บนฐานยกพื้นสูงขนาดใหญ่โดยมีราวบันไดทางขึ้นที่สูงชันทั้งสี่ ด้านด้านละ 3 แห่ง รวมทั้งหมด 12 แห่งโดยรอบฐานบนยอดปรางค์ประธานองค์กลางชั้นบนสุดเป็นแท่นที่วางเทวรูปพระวิษณุเทพใต้ฐานของเทวรูปเป็นที่ฝังพระศพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ซึ่งปัจจุบันไม่มีร่องรอยของพระบรมศพให้เห็นอีกต่อไปแล้ว


นักโบราณคดีสันนิษฐานกันว่าในการสร้างมหาปราสาทนครวัดแห่งนี้ใช้หินทรายในการสร้างหลายสิบล้านลูกบาศก์เมตรโดยใช้ช้างนับพันเชือกชักลากหินทรายมาจากแหล่งตัดหินบนเทือกเขาพนมกุเลนซึ่ง ตั้งอยู่ห่างจากมหาปราสาทนครวัดระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร หินทรายบางส่วนใช้แพล่องมาตามแม่น้ำเสียมเรียบ ใช้แรงงานและช่างแกะสลักชาวขอมนับจำนวนหมื่นๆ คนโดยใช้เวลาในการสร้างประมาณ 30 ปีก็ยังไม่แล้วเสร็จ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงรอไม่ไหวจึงเสด็จสวรรคตไปก่อนที่จะสร้างเสร็จ ปราสาทแห่งนี้จึงได้หยุดการสร้างไว้ดั่งที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน


ดั่งจะสังเกตุได้จากาพแกะสลักบางภาพบนผนังบางด้านของมหาปราสาทนครวัดยัง แกะไม่เสร็จ ช่างขอมจึงหยุดการแกะสลักหันไปจัดพระราชพิธีพระบรมศพ โดยการตั้งโกศใส่พระบรมศพบนฐานสี่เหลี่ยมที่แกะสลักด้วยหินทรายจากนั้นจึงทำ การเจาะรูให้ลึกลงไปจนถึงตัวปราสาท


ชั้นล่างบรรจุทรายละเอียดใส่ไว้ให้เต็มเพื่อใช้เป็นที่รองรับพระบุพโพ (น้ำเหลือง) ของพระบรมศพให้ซึมไหลลงไปสาเหตุที่ต้องทำไว้ให้ลึกมากๆ เพื่อป้องกันมิให้กลิ่นน้ำเหลืองซึมไหลออกมารบกวนประชาชนที่จะเข้าไปสักการะ บูชาพระบรมศพ


ชาวขอมโบราณเชื่อกันว่ากษัตริย์เมื่อทรงเสด็จสวรรคตแล้วจะหลอมรวมดวงวิญญาณ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับองค์พระวิษณุเทพ พระบรมศพที่บรรจุอยู่ในพระโกศจะประดับประดาไปด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ตลอดจน เครื่องประดับอันมีค่ามากมายให้สมกับการเป็นเทวะราชาจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างเทวาลัย ใส่พระบรมศพและด้วยเหตุนี้เองมหาปราสาทนครวัดจึงจำเป็นต้องหันหน้าไปทางทิศ ตะวันตกอันเป็นทิศแห่งการดับสูญหรือทิศแห่งความตายตามความเชื่อของชาวขอมโบราณนั่นเอง
มหาปราสาทนครวัดจึงแตกต่างจากปราสาทแห่งอื่นๆที่มักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกผมอยากจะขอแนะนำ ท่านผู้อ่านให้ให้เดินทางไปเที่ยวชมนครวัดในช่วงบ่ายสามโมงเย็นไปแล้วจะถ่าย รูปได้สวยงามแถมอากาศยังไม่ร้อนอีกด้วย


พอพระเจ้าสุริยวรมันทรงเสด็จสวรรคตไปแล้วการสร้างมหาปราสาทนครวัดก็เลยต้อง หยุดชะงักลง กษัตริย์ขอมองค์ต่อไปไม่คิดที่จะสร้างต่อให้เสร็จเรียบร้อยกลับ เกณฑ์ไพร่พลชาวขอมไปสร้างปราสาทประจำรัชกาลของตนเองขึ้นมาใหม่อีกหลายสิบ แห่งแต่ก็ไม่มีปราสาทใดเลยที่จะยิ่งใหญ่และอลังการงานสร้างมากไปกว่ามหา ปราสาทนครวัดนี้อีกต่อไปแล้ว


มหาปราสาทนครวัดถูกก่อสร้างเพิ่มเติมขึ้นอีกในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งเมืองพระนครแต่ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ สำหรับภาพแกะสลักใหม่ที่บริเวณระเบียงคตทางด้านทิศใต้แกะสลักจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ในสมัยของนักองค์จันทร์ในช่วงปี พ.ศ. 2059 -2099 แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ดีนักโดยจะเห็นได้จากบริเวณผนังหินทรายทางด้านทิศใต้มี ลักษณะว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัดเจน


รัชกาลของกษัตริย์ขอมโบราณดำเนิน เรื่อยมาจนถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่เลื่อมใสในพุทธศาสนานิกายมหายานการก่อสร้างองค์ปราสาท ที่จัดได้ว่าเป็นวัดในพระพุทธศาสนาเช่นปราสาทบายน ปราสาทตาพรหมและปราสาทพระขรรค์ ฯลฯ หลังสิ้นรัชกาลของพระองค์พระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ได้หันกลับมานับถือศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายได้ดัดแปลงปราสาทต่างๆในพระพุทธ ศาสนาให้เป็นศาสนสถานในแบบฮินดูโดยการสกัดรูปพระพุทธรูปออกเปลี่ยนเป็น ศิวลึงค์และรูปฤาษีแทน


หลังจากสิ้นรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 อาณาจักรขอมเริ่มเสื่อมอำนาจเกิดความอ่อนแอทางเศรษฐกิจเพราะใช้ทรัพย์สิน เงินทองและข้าทาสบริวารหมดไปในการก่อสร้างปราสาทต่างๆ มากมายมหาศาล ทั้งยังเกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจกันระหว่างพราหมณ์กับพระในพุทธศาสนาอีกทั้ง เกิดสงครามกับอาณาจักรไดเวียดหรือเวียดนามในปัจจุบันต ลอดจนต้องส่งเครื่องราชบรรณาการให้กับจีนและมองโกลทั้งยังต้องประสบกับการ รุกรานจากสยาม อาณาจักรขอมโบราณจึงเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ และล่มสลายในเวลาต่อมา จนถึงสมัยของนักองค์จันทร์(พ.ศ.2059-2099)ได้สร้างพระพุทธรูปไว้บนระเบียงคตและบนปรางค์ปราสาทต่างๆ มากมาย จากฐานะสุสานของเทวาลัย จึงกลายมาเป็นวัดในพระพุทธศาสนาที่มีชื่อว่า “นครวัด” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่ปรากฎเรื่องราวของกษัตริย์ขอมโบราณอีกเลย


การล่มสลายเกิดขึ้นในอาณาจักรขอมโบราณปราสาทต่างๆ ถูกปล่อยให้รกร้างถูกผืนป่ากลืนกินอยู่นานเกือบ 500 ปี จนล่วงเข้าสู่ปี พ.ศ. 2410 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีนักพฤกษศาตร์ชาวฝรั่งเศสนามว่า นายอองรี มูโอต์ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาศึกษาพรรณพืชเขตร้อนในไทย ลาวและกัมพูชาซึ่งจากมืองไทยนายอองรีเดินทางไปยังเมืองชายทะเลตะวันออกของ ไทยนั้นคือจังหวัดตราดในปัจจุบันลงเรือที่จังหวัดตราดไปขึ้นบกยังเมืองกำปอด ของกัมพูชาเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2403 จากนั้นจึงเดินทางต่อไปจนถึงเมืองพระตะบองและจากที่นี่นายอองรีแกได้ทราบ ข่าวจากมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสด้วยกันว่าอีกฟากหนึ่งของทะเลสาปในเมืองเสียม เรียบมีเมืองโบราณแห่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าใหญ่ จากนั้นนายอองรีจึงรีบเดินทางข้ามทะเลสาปไปยังเมืองเสียมเรียบและบุกเข้าไป สำรวจในป่าทึบก็ได้พบกับมหาปราสาทนครวัดเป็นแห่งแรกนับว่าเป็นการค้นพบโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียวหลังจากที่ดินแดนขอมโบราณได้ถูกป่าใหญ่กลืนกินมานานเป็นเวลาเกือบ 500 ปี จากนั้นนายอองรีได้เดินทางกลับฝรั่งเศสเขียนหนังสือถึงโบราณสถานต่างๆที่ได้พบในกัมพูชา


ซึ่งในตอนแรกนายอองรียังงงเป็นไก่ตาแตกไม่รู้ว่าโบราณสถานต่างๆ ที่ตนเองได้พบ เห็นนั้นมันคืออะไรกันแน่ พี่แกเลยพาลมั่วนิ่มบอกว่าเป็นผลงานของอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าโซโลมอน ที่สร้างขึ้นโดยวิศวกรใหญ่นามว่าไมเคิ่ลแองเจโล่เถไถไปโน่น แถมยังพูดดูถูกอีกว่าโบราณสถานอันน่ามหัศจรรย์เช่นนี้มา ตั้งอยู่ในดินแดนอันป่าเถื่อนนี้ได้อย่างไรและพวกคนป่าเถื่อนไร้ซึ่งความ ศิวิไรซ์ในดินแดนนี้ไม่มีความรู้ความสามารถที่จะสร้างสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ ขึ้นมาได้ พวกฝรั่งหัวสีทองตาน้ำข้าวมีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่งคือถ้าเห็นชนชาติใดที่ ผิดแผกแตกต่างจากพวกตนแล้วล่ะก็มองเป็นพวกป่าเถื่อนไปหมด ทั้งที่อาณาจักรขอมโบราณมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนพวกยุโรปนานนับเป็นร้อยๆ ปี แต่ยังมีหน้ามาบอกแก่ชาวโลกว่าตัวเองมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนคนอื่นๆ


หลังจากที่นายอองรีแกค้นพบมหาปราสาทนครวัดในปี พ.ศ.2406 ฝรั่งเศสก็จัดการงาบเอาเขมรเป็นเมืองขึ้นเสียเลย จากนั้นก็เริ่มมี นักโบราณคดี นักประวัติศาตร์ ผู้เชี่ยวชาญทางศิลป นักมนุษวิทยา วิศวกรและเหล่าสถาปนิกพวกผู้ดีขี้โม้ต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชาวฝรั่งเศสพากันเดินทางหลั่งไหลกันเข้ามาศึกษาและสำรวจมหาปราสาทนครวัดกันอย่างมากมาย แม้ว่าฝรั่งเศสจะยึดครองกัมพูชาเป็นเมืองขึ้นยาวนานแต่ฝรั่งเศสก็พยายามช่วยบูรณะมหาปราสาทนครวัดและปราสาทต่างๆ ในเมืองพระนครไว้ให้มีสภาพสมบูรณ์ซึ่งต้องใช้ทั้งเวลาและงบประมาณจำนวนมากมายมหาศาลเพื่อทำให้มหาปราสาทนครวัดยืนหยัดมาจนตราบทุกวันนี้ และนี้ก็คือเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ของมหาปราสาทนครวัดถ้าจะให้ผมเล่าให้ ละเอียดลึกลงไปกว่านั้นสามเดือนก็ยังไม่จบเหมือนกับเรื่องสามก๊ก บวก รามเกียรติ์ เอามาเย็บเล่มรวมกันเสียอีกครับ



เราสองคนเดินเท้าหามุมถ่ายรูปภายในมหาปราสาทนครวัด สำหรับมุมมหาชนเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือมุมทางด้านซ้ายมือ หน้าบาราย (สระน้ำ) หลังจากเดินเท้าผ่านโคปุระชั้นแรกมาแล้วประมาณ 200 เมตรมีบันไดจากสะพานนาคราชลงไปยังสนามหญ้าทางด้านซ้ายมือเพราะจะสามารถมองเห็นปรางค์ปราสาทได้ครบทั้งห้ายอดทั้งยังมีเงาสะท้อนของมหาปราสาทนครวัดทอดลงมาในสระน้ำอีกภาพหนึ่งด้วยครับ

จากมุมมหาชนเราสองคนเดินเข้าไปยังระเบียงคตด้านนอกขององค์ปราสาททางทิศตะวันตกตามฝาผนังระเบียงคตทางด้านทิศเหนือจำหลักเป็นเรื่องราวมหาภารตะยุทธการรบ ที่กรุงลงกาถัดมาทางฝาผนังด้านทิศตะวันออกจำหลักเป็นรูปเทวดาทะเลาะกับยักษ์ ต่อมาก็เป็นภาพจำหลักรูปพระกฤษณะปราบพระยาพาล


ไฮไลท์ที่สำคัญอยู่ทางฝาผนังด้านทิศตะวันตกเป็นรูปการกวนเกษียณสมุทรระหว่าง ยักษ์กับเทวดามีความยาวประมาณ 50 เมตรแต่ในขณะที่เราสองคนเดินเท้ามานั้นเส้นทางเดินถูกขึงปิดด้วยเชือกพร้อม กับคำว่า “ห้ามเข้า” กำลังอยู่ในระหว่างปรับปรุงเราจึงอดชมภาพการกวนเกษียรสมุทรระหว่างยักษ์กับ เทวดาในระยะใกล้ๆ


แต่ทางเจ้าหน้าที่ของปราสาทก็ยังอุตส่าห์นำภาพวาดเหมือนมาแสดงไว้ด้านล่าง ให้นักท่องเที่ยวได้ชมแทนซึ่งต้องขอชมว่าช่างก็อปปี้ได้เหมือนของเดิมจริงๆ ครับดูได้จากรูปครับ


สำหรับสาเหตุของการกวนเกษียรสมุทรระหว่างยักษ์กับเทวดาผมจะขอเล่าให้ท่านผู้ อ่านฟังย่อๆ ดังนี้ครับ จุดประสงค์ของการกวนเกษียรสมุทรนั้นคือการผลิตน้ำอมฤตโดยจะต้องใช้เวลาในการกวนนานถึงพันปีสำหรับน้ำอมฤตนั้นมีฤทธิ์เดชทำให้ผู้ที่ดื่มกินมีชีวิตที่ เป็นอมตะ เทวดากับยักษ์ทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวันถึงกับยกทัพไปต่อยตีผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกันเป็นประจำ ฝ่ายเทวดามักจะพลาดท่าเสียทีให้กับยักษ์เป็นประจำ สุดท้ายเหล่าเทวดาจึงรวมหัวกันไปขอคำปรึกษากับพระวิษณุเทพว่าทำอย่างไรถึงจะรบชนะยักษ์ได้สักทีพระวิษณุ เทพออกอุบายให้เทวดาแกล้งไปทำดีตีซี้ชวนยักษ์ให้มากวนเกษียรสมุทรร่วมกันเพื่อเอาน้ำอมฤตชีวิตจะได้เป็นอมตะ


แต่การกวนเกษียรสมุทรเป็นงานช้างจะต้องใช้แรงมหาศาลเทวดาจึงจำเป็นต้องพึ่งยักษ์โดยเทวดาให้สัญญากับยักษ์ว่าจะแบ่งน้ำอมฤตให้ยักษ์ครึ่งหนึ่ง ฝ่ายยักษ์เห็นดีด้วยจึงตอบตกลงแบ่งข้างกันชักเย่อโดยให้พระวิษณุเทพเป็นแม่งานและใช้พญานาควาสุกรีแทนเชือกจากนั้นจึงเลือกข้างกันชักเย่อ ฝ่ายเทวดาเลือกอยู่ทางฝ่ายหางส่วนยักษ์รู้ไม่เท่าทันเทวดาจึงเลือกอยู่ทางฝ่ายหัวของ พญานาควาสุกรีจากนั้นจึงเอาลำตัวพญานาควาสุกรีพันเข้ากับเขามันทระโดยรอบ เพื่อให้ภูเขานั้นหมุนไป โดยการกวนเกษียรสมุทรใช้เวลากวนนานถึงพันปีเขามันทระค่อยๆ เจาะลึกลงไปจนถึง แกนกลางของโลก พระวิษณุเป็นห่วงกลัวโลกจะแตกสลายจึงอวตารลงมาเป็นเต่า(กูรมาวตาร) เอากระดองเข้ารองรับเขามันทระไว้ไม่ให้โลกแตกสลาย


ถ้ามองจากริมภาพด้านซ้ายมือจะเห็นเป็นภาพของฝ่ายยักษ์จำนวน 91 ตนกำลังพร้อมชักเย่อเพื่อผลิตน้ำอมฤต ส่วนหัวแถวผู้นำการชักเย่อของฝ่ายยักษ์ก็คือทศกัณฑ์ผู้ร้ายตลอดกาล ตรงกลางภาพเป็นรูปของพระวิษณุสี่กรเป็นกรรมการคอยควบคุมการชักเย่ออยู่บนเขามันทระใต้เขามันทระลงมาเป็นเ ต่ากำลังเอากระดองรองรับเขามันทรไว้ โดยมีพระอินทร์เหาะลอยอยู่เบื้องบนคอยพยุงเขามันทระไว้ให้ตรง ถัดไปทางด้านขวาเป็นแถวของเทวดา 88 องค์ ส่วนผู้ถือหางคือพระเอกตลอดกาลนั้นคือหนุมาน สำหรับช่วงท้ายของภาพเป็นกองทัพเทวดาตั้งท่าคอยที่จะแย่งน้ำอมฤตจากยักษ์ เช่นเดียวกัน และจากการกวนเกษียรสมุทรอยู่นานนับพันปีได้เกิดสิ่งต่างๆ จากการกวนเกษียร สมุทรขึ้นอย่างมากมาย อาทิเช่น นางอัปสรา, พระนางลักษมี, ช้างเอราวัณ ฯลฯ และจากภาพของการกวนเกษียรสมุทรนี้แสดงให้เห็นว่าขอมโบราณได้นำเอามหากาพย์ รามายนะมาเย็บเล่มรวมเข้ากับคัมภีร์พระเวทได้อย่างแยบยล เรียกได้ว่า เนียนเลยทีเดียว
ถัดจากภาพการกวนเกษียรสมุทรไปทางระเบียงคตทางด้านทิศใต้เป็นภาพแกะสลักเกี่ยวกับเรื่องนรกสวรรค์และพญายมถัดมาอีกหน่อยเป็นรูปกองทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 พระองค์ทรงประทับอยู่บนเสลี่ยงล้อมรอบด้วยเหล่าแม่ทัพนายกองขบวนช้างม้าศึก และภาพการรบตะลุมบอนกันนัวเนียที่ทุ่งกุรุเกษตรในเรื่องมหาภารตะยุทธ


และสุดท้ายไฮไลท์ที่สำคัญคือภาพเสียมกุกหรือกองทัพของสยามที่เดินทัพ กันไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เดินกันไปหันหน้ามาคุยกันไปตลอดทางไม่ทราบว่าเป็นสยามก๊กไหนกันครับ


กว่าเราสองคนจะเดินชมภาพแกะสลักโดยรอบของระเบียงคตในมหาปราสาทนครวัตจนหมด ก็เล่นเอาเข่าแทบอ่อน ถ้าจะให้ผมเล่าเรื่องราวความเป็นมาของภาพต่างๆที่แกะสลักอยู่โดยรอบตัวปราสาทนครวัดต่อไปเห็นทีเจ็ดวันคงจะเล่าให้ท่านฟังไม่จบเอาเป็นว่าเล่าให้ฟังพอหอม ปากหอมคอก็แล้วกันน่ะครับ
หลังจากนั้นจึงมานั่งพักดื่มน้ำกันบริเวณทางเข้าปราสาทชั้นในทางด้านทิศตะวันตก เรียกความสดชื่นกลับคืนมาบ้างเล็กน้อยจากนั้นจึงออกเดินเท้าเข้าไป ยังบริเวณปราสาทชั้นใน แต่พอก้าวเท้าเข้าไปยังปราสาทชั้นในเราสองคนก็ต้องตก ตะลึงกับบรรดานางอัปสราที่กำลังโยกย้ายส่ายสะโพกกันตามผนังเกือบทุกซอกทุก มุมในตัวมหาปราสาทนครวัดแห่งนี้นับจำนวนได้ถึง 1,630 องค์


นับได้ว่ามหาปราสาทนครวัดใช้นางอัปสราเฝ้าปราสาทเปลืองที่สุด สำหรับนางอัป สราในความหมายของศาสนาฮินดูก็คือ เหล่านางเทพธิดาที่คอยดูแลศาสนสถาน “บาทบริจาริกา” หรือผู้ที่รับใช้เทพเจ้าแห่งศาสนสถานทั่วทั้งมหาปราสาทนครวัดแห่งนี้ ตั้งแต่โคปุระทางเข้าชั้นนอกสุดจนถึงปรางค์ประธานยอดที่ห้าชั้นบนสุดจะมีรูปแกะสลัก หินทรายของนางอัปสราประดับประดาไปทั่วทุกซอกทุกมุมของปราสาทในท่วงท่ารำที่ อ่อนช้อย งดงามด้วยเครื่องทรงที่ครบเครื่องเรื่องผู้หญิง งดงามด้วยรอยยิ้มที่สำรวมของเหล่านางอัปสราสะท้อนถึงวัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีในราชสำนักขอมเมื่อพันปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงแปลความหมายของคำว่า “อัปสรา” ไว้คือ “ผู้ที่กระดิกอยู่ในน้ำ”เพราะตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดูกล่าวกันว่าเมื่อ ตอนที่ยักษ์และเทวดากำลังกวนเกษียรสมุทรให้ได้น้ำอมฤตอยู่นั้นได้เกิดนางอัปสราผุดขึ้นมาจากการกวนเกษียรสมุทรในทะเลน้ำนมนับเป็นหมื่นๆ องค์ คติความเชื่อนี้ปรากฎให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนที่ภาพแกะสลักการกวน เกษียรสมุทรบริเวณฝาผนังมหาปราสาทนครวัดทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งที่ เราสองคนผ่านมาเมื่อสักครู่นี้ นับได้ว่าเป็นภาพแกะสลักที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และอลังการมากที่สุดภาพหนึ่งในมหาปราสาทนครวัดและถือว่าเป็นต้นกำเนิดของ นางอัปสราในเวลาต่อมา ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และได้มีโอกาสเดินทางมาเยี่ยมชมมหา ปราสาทนครวัดในปี พ.ศ. 2495 ได้กล่าวถึงนางอัปสราในหนังสือเรื่อง “ถกเขมร” ที่ท่านเขียนไว้ว่า “นางอัปสราแต่ละองค์นั้นบอบเบาราวกับจะปลิวได้เหมือบกับแกะสลักไว้ด้วยวัตถุ ชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่ศิลาแลงแต่บางเบาและใสสะอาด อัปสราทุกองค์ซ่อนยิ้มไว้บนใบหน้าซึ่งไม่ใช่รอยยิ้มอันเต็มไปด้วยกิเลส ตัณหาแต่เป็นรอยยิ้มอันเกิดจากความสุขบนสรวงสวรรค์รอยยิ้มที่แจ่มใสเหมือนกับท้องฟ้าในยามรุ่งอรุณ” และด้วยความงดงามอ่อนช้อยอันเป็นเลิศของเหล่านางอัปสราแห่งมหาปราสาทนครวัด กลายมาเป็นภาพลักษณ์หนึ่งของศิลปะขอมอันยิ่งใหญ่ตามอาคารและโรงแรมอันทัน สมัยในกรุงพนมเปญและเมืองเสียมเรียบและจังหวัดต่างๆ ในประเทศกัมพูชาจะประดับประดารูปของนางอัปสราไว้ทั้งสองข้างประตูทางเข้า และภาพเขียนสีน้ำมันของนางอัปสราไว้บริเวณฝาผนังภายในอาคารและโรงแรมที่ พักอันทันสมัย ศิลปะการร่ายรำของนางอัปสรากลายมาเป็นศิลปะการร่ายรำประจำชาติของกัมพูชา กล่าวกันว่าเป็นศิลปะในราชสำนักใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองผู้เดินทางมาเยือน ซึ่งแสดงถึงเอกลักษณ์ของชนชาติกัมพูชามาทุกยุคทุกสมัย นั่นคือการฟ้อนรำหรือระบำอัปสราซึ่งถอดแบบการแต่งกายและท่าร่ายรำมา จากภาพจำหลักของนางอัปสราแห่งมหาปราสาทนครวัดแห่งนี้เอง


เราสองคนเดินเที่ยวชมนางอัปสราแต่ละองค์โนบรากันทั้งนั้น นางอัปสราองค์ใดที่อยู่ใกล้มือเอื้อมถึงก็จะถูกนักท่องเที่ยวมือดีลูบคลำที่หน้าอกเสียจนเต้านมทั้งสองข้างมันแผล่บ ซึ่งถ้าเป็นคนป่านนี้นมคงยานถึงสะดือไปแล้วเพราะโดนลูบคลำทุกวัน เฮ้อ!มนุษย์หนอมนุษย์ไม่ละเว้นแม้แต่นางฟ้านางสวรรค์กันเลยน่ะ
เราสองคนเงยหน้ามองขึ้นไปยังปรางค์ประธานทั้งห้าปรางค์จนคอเกือบจะตั้งบ่าซึ่งครั้งหนึ่ง เมื่อประมาณเกือบ 60 ปีที่ผ่านมา หม่อมราชวงศ์คึกฤทธ์ ปราโมช เคยปีนป่ายขึ้นไปยังชั้นบนสุดของปรางค์ปราสาทชั้นบนสุดและนำเรื่องราวที่ ท่านได้เห็นมาเขียนเป็นหนังสือเรื่อง “ถกเขมร” ในเวลาต่อมาซึ่งในหนังสือเรื่องถกเขมรหม่อมคึกฤทธิ์ได้กล่าวถึงความ มหัศจรรย์ของนครวัดไว้ว่า “ใครที่ได้เดินทางมาเห็นมหาปราสาทนครวัด-นครธมแล้วความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในใจคือ สิ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลงและหินทรายที่สูงใหญ่และกว้างขวางเทียมขุนเขาเหล่า นี้เป็นสิ่งเกินสติปัญญาเกินกำลังศรัทธาของมนุษย์ที่จะสร้างสรรขึ้นมาได้ คำตอบของชาวเขมรที่ว่าพระอินทร์เป็นผู้สร้างหรืองอกขึ้นมาจากพื้นดินเอง นั้นจึงตรงกับความรู้สึกของผู้ที่ได้มาเห็นปราสาทเหล่านี้เป็นครั้งแรก มากกว่าคำตอบอื่นใด” สำหรับปรางค์ประธานทั้งทั้งห้าตั้งอยู่บนฐานยกสูงขนาดใหญ่โดยมีบันไดทางขึ้น สูงชันทั้งสี่ด้านด้านละ 3 แห่ง รวมทั้งหมด 12 แห่งรอบฐาน สำหรับสาเหตุที่ขอมโบราณทำบันไดทางขึ้นสูงชันเช่นนี้ก็เพราะว่า เพื่อให้บรรดาพสกนิกรของพระองค์จะต้องก้มคลานขึ้นมาเคารพพระบรมศพของพระองค์ ซึ่งเปรียบเสมือนกับพระวิษณุหรือพระนารายณ์ที่ทรงอวตารลงมาในร่างของพระองค์และเมื่อ พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ชีพลงไปแล้วดวงพระวิญญาณของพระองค์ก็จะทรงกลับมาเป็นพระบรมวิษณุโลกเหมือนเช่นเดิม แต่นักท่องเที่ยวจะโชคดีหน่อยที่ทางผู้ดูแลสถานที่ได้ทำบันไดไม้พร้อมราวสะพานเหล็กเอาไว้ อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ส.ว(สูงวัย) ทั้งหลายไม่ต้องทรมานทรกรรมเหมือนกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ต้องปีนป่ายขึ้นไปบนชั้นบนสุด นอกจากปรางค์ที่ห้าอันเป็นปรางค์ที่ใช้เก็บพระบรมศพที่ปัจจุบันไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็นอีกแล้วนอกจากรูปแกะสลักของนางอัปสราเทพธิดาที่เฝ้าพระบรมศพมา เกือบพันปีแล้วยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดกันเสียที นางอัปสราแต่ละองค์ที่ประดิษฐานอยู่โดยรอบปรางค์ประธานที่ห้าที่ใช้บรรจุพระบรมศพนี้จะมีลักษณะโดดเด่นกว่านางอัปสราองค์อื่นๆ คือหน้าตาจะสวยงามพร้อมแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับ ที่มีราคาสวยงามตระการตากว่านางอัปสราองค์อื่นๆ ซึ่งเราสองคนคาดเดาว่าอาจจะเป็นเหล่าสนมเอกของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ก็เป็นได้


และที่โคปุระและบริเวณปรางค์ประธานทั้งสองแห่งทางด้านทิศตะวันตกนับว่าเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากแห่งหนึ่งในมหาปราสาทนครวัดสามารถมอง เห็นได้กว้างไกลหากมองไปทางทิศตะวันตกจะสามารถเห็นองค์ปราสาทชั้นกลาง ชั้นล่างและระเบียงคตที่ล้อมรอบสองชั้นทางเดินชั้นในกำแพงปราสาท คูเมืองตลอดจนราวป่าด้านนอก


และหากมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็จะแลเห็นปราสาทบนเขาพนมบาเค็งซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาห่างจากมหาปราสาทนครวัดประมาณ 800 เมตรได้อย่างชัดเจนและตรงกันข้ามจากยอดเขาพนมบาเค็งสามารถมองย้อนกลับมายังมหาปราสาทนครวัดได้อย่างชัดเจน
 เราสองคนเดินเที่ยวชมชั้นบนสุดของมหาปราสาทนครวัดแต่ไม่สามารถเดินเข้าไปชม แท่นที่วางพระบรมศพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ได้เพราะมีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าอยู่บริเวณประตูทางเข้าไม่ทราบสาเหตุใดถึงห้าม เข้าไปเที่ยวชมภายในยอดบนสุดของปรางค์ที่ห้า


ทั้งๆที่เมื่อ  4-5  ปีก่อนเคยให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมภายในได้ สาเหตุเพราะอาจกลัวว่าจะไปรบกวนพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ขณะกำลังทรงพระบรรทมอยู่ก็เป็นได้ ยิ่งนานวันเข้าทางกระทรวงอัปสราซึ่งเป็นผู้ดูแลมหาปราสาทนครวัดรู้สึกว่าจะออกกฏระเบียบอะไรต่างๆ จนหยุมหยิมมากมายไปหมด เอาล่ะครับเมื่อไม่ให้เข้าไปดูก็ไม่ดูปฎิบัติตามกฏกติกาของเขาดีกว่านะครับ


ดวงอาทิตย์เริ่มจะลาลับขอบฟ้าไปแล้วเราสองคนก้าวเดินออกมาตามทางเดิน เท้ายาวประมาณ 350 เมตร ออกสู่โคปุระชั้นนอกและก่อนที่จะก้าวออกสู่โคปุระชั้นนอกออกสู่มหาปราสาทนครวัด


เราสองคนไม่วายที่จะหันกลับมามองมหาปราสาทนครวัดอีกครั้งหนึ่งพร้อมนึก ถึงคำกล่าวอันเป็นอมตะของอาร์โนลด์ ทอยน์บี นักประวัติศาตร์ชาวอังกฤษที่ได้กล่าวประโยคอันเป็นอมตะไว้ว่า “See Angkor wat and Die” เพียงสักครั้งหนึ่งใดชีวิตที่ได้มาเห็นนครวัดก็ตายตาหลับแล้ว ซึ่งเราสองคนและนักท่องเที่ยวหลายคนเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้นจริงๆครับ


จากมหาปราสาทนครวัดไกด์กองพาเราสองคนเดินทางไปยังเขาพนมบาแคงเพื่อชมพระอาทิตย์ตก เขาพนมบาแค็งตั้งอยู่ไม่ห่างจากมหาปราสาทนครวัดเท่าใดนักเขาพนมบาแคงหรือที่นักท่องเที่ยวบางคนเรียกว่าเขาพนมขาแข็งมีความสูงแค่ 70 เมตร แต่ทางเดินขึ้นเขานั่นซิครับสูงชันมาก



นักท่องเที่ยวบางคนเดินขึ้นไม่ไหวจำเป็นต้องอาศัยบริการของช้างเป็นพาหนะนั่งบนหลังช้างขึ้นไปสำหรับเราสองคนไกด์กองพาเราเดินลัดเลาะขึ้นไปทางส้นทางลัดซึ่งกว่าจะขึ้นไปถึงยังด้านบนของยอดเขาพนมบาแค็งได้ก็เล่นเอาหอบจับไปเหมือนกันครับ สำหรับประวัติความเป็นมาของเขาพนมบาแค็งไกด์กองเล่าให้เราสองคนฟังว่า


ปราสาทพนมบาแคงสร้างในปีกลางพุทธศตวรรษที่ 15 (ประมาณ พ.ศ. 1450) รัชสมัยของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ศาสนาฮินดูไศวนิกาย (บูชาพระศิวะ) เป็นศิลปะแบบบาแคงปราสาทพนมบาแคงตั้งอยู่บนเขาลูกเล็กมีความสูงประมาณ 70 เมตร มีชื่อเรียกในสมัยโบราณว่าปราสาทพนมกันดาล (พนม แปลว่า ภูเขา, กันดาล แปลว่า กลาง) ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างปราสาทพนมกรอมกับปราสาทพนมบก ซึ่งอยู่บนภูเขาขนาดใกล้เคียงกัน ต่อมาเรียกปราสาทนี้ว่า ปราสาทพนมบาแคงตามลักษณะของต้นบาแคง (คล้ายต้นมะขาม) ที่มีอยู่มากในบริเวณภูเขานี้ ชื่อของปราสาทดั้งเดิมจริงๆ นั้นเรียกว่า ปราสาทยโศธระปุระ คือใช้ชื่อของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 นั่นเอง ตัวปราสาทอยู่ใจกลางของยอดเขาปราสาทพนมบาแคง จำลองลักษณะมาจากปราสาทบากอง มีสถาปัตยกรรมคล้ายกัน รูปทรงแบบปิรามิด ที่ตัวระเบียงแต่ละชั้นมีปราสาทเล็กๆ 4 มุม ภายในปรางค์ประธานมีศิวลึงค์ตั้งอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ.1450 ในปีที่เริ่มสร้างปราสาท ในขณะที่การก่อสร้างยังคงดำเนินต่อไปจากปี พ.ศ. 1450-1471 นานถึง 21 ปี หลังจากนั้นอีก 40 ปีในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ได้มีการบูรณะซ่อมแซมปราสาทนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก พระพุทธรูปที่เห็นในปรางค์ประธานนั้น มีการอัญเชิญพระพุทธรูปขนาดใหญ่ขึ้นไปประดิษฐานบนแท่นหินทรายแทนศิวลึงค์เมื่อ พ.ศ. 2059



ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าลงไปแล้วเราสองคนพร้อมคณะทัวร์เดินทางกลับเข้าเมืองเสียมเรียบจากนั้นไกด์กองพาเราสองคนมารับประทานอาหารค่ำกันที่ภัตตาคารทะเลแม่โขงในเมืองเสียมเรียบพร้อมชมการแสดงโชว์ศิลปวัฒนธรรมกัมพูชา


ในที่สุดไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนเดินทางมาถึงภัตตาคารทะเลแม่โขงซึ่งกำลังคับคั่งไปด้วย บรรดานักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวจากไทย,เกาหลี, จีน และเวียดนามที่มารับประทานอาหารค่ำภายในภัตตาคารทะเลแม่โขงมีห้องโถงขนาดใหญ่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้จำนวนนับพันคน
ส่วนเมนูอาหารถูกจัดให้เป็นแบบบุฟเฟ่ต์นานาชาติ โดยมีอาหารคาวหวานให้เลือกรับประทานมากมายหลากหลายชนิด สด สะอาด อร่อย ให้นักท่องเที่ยวรับประทานกันจนท้องแตกตายไม่คิดสตังค์ เราสองคนพร้อมคณะทัวร์รับประทานอาหารค่ำด้วยความเอร็ดอร่อยหลังจากที่ต้องใช้พลังงานในการเดินมาตลอดทั้งวันจากนั้นจึงเป็นการแสดงบนเวทีศิลปวัฒนธรรม ของกัมพูชา เช่น โขนเรื่องรามเกียรติ์ การละเล่นพื้นบ้าน ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมของไทยเป็นอย่างมาก


หลังรำอัปสราจบไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนกลับเข้าสู่โรงแรมที่พักเพื่อพักผ่อนหลังจากที่เดินทางท่องเที่ยวชมปราสาทต่างๆมาตลอดทั้งวัน


พรุ่งนี้เช้าไกด์เรด สมุทร อาสาพาเราสองคนเดินทางขึ้นไปท่องเที่ยวบนเขาพนมกุเลนแหล่งหินทรายที่ชาวขอมโบราณขนมาสร้างมหาปราสาทนครวัดกันครับ


สำหรับคืนนี้ขอกล่าวคำว่า “ราตรีซัวซเดย” ครับ.
วันที่สามของการเดินทาง

หลังจากจัดการกับอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนออกเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติเขาพนมกุเลนระยะทางห่างจากเมืองเสียมเรียบประมาณ 40 กม.

วันนี้ไกด์เรด สมุทรได้จัดเตรียมเปลี่ยนรถให้เราใหม่เป็นรถยนต์ Toyota Camary  4 ที่นั่ง สาเหตุเพราะอุทยานแห่งชาติเขาพนมกุเลนมีความสูงหลายร้อยเมตร รถมอดอร์ไซด์รับจ้างไม่มีกำลังพอที่จะขับขึ้นไปได้จึงต้องใช้บริการรถยนต์ 4 ล้อของคุณเม้งแทนในอัตราค่าบริการวันละ70 USD แพงเอาการอยู่เหมือนกัน แต่เพื่อท่านผู้อ่านแล้วเรายินดีสู้ราคาเสมอครับ เมื่อรถพร้อมคนพร้อมไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนออกเดินทางจากเมืองเสียมเรียบมุ่งหน้าสู่เขาพนมกุเลนในทันที เราสองคนรวมทั้งไกด์เรด สมุทรเดินทางไปตามถนนราดยางค่อนข้างขรุขระ



ภาพของวัวเทียมเกวียนและควายเทียมเกวียนพาหนะท้องถิ่นของชาวเขมรภาพเหล่านี้หาชมไม่ได้อีกแล้วในบ้านเราแต่ในประเทศกัมพูชาภาพวิถีชีวิตเหล่านี้สามารถหาชมได้ง่ายกว่ารถอีแต๋นในบ้านเรา



เราทั้งสามคนเดินทางผ่านผ่านท้องไร่ท้องนาและบ้านเรือนของชาวกัมพูชาที่คงสภาพเดิมๆ เหมือนเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา



หลังจากสงครามความขัดแย้งในบ้านเมืองผ่านพ้นไปแล้วประชาชนตาดำๆ ชาวกัมพูชาก็อยู่อย่างมีความสุขนอนตาหลับไม่ต้องระแวงว่าเมื่อไหร่เขมรแดงจะจับตัวไปสัมนาหรือลูกระเบิดจะตกมาลงบนหลังคาบ้านเมื่อไหร่


ปัจจุบันบ้านชาวเขมรดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียงเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ทำไร่ทำนาปลูกพืชผักขาย รอยยิ้มเริ่มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของชาวเขมรตลอดเส้นทางที่เราสองคนเดินทางผ่านมาการเดินทางไปทั่วทุกจังหวัดในประเทศกัมพูชา



ต่อให้ดึกดื่นค่ำมืดขนาดไหนนักท่องเที่ยวไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาดักปล้นกลางทางเหมือนเมื่อสมัยก่อนแล้ว ชาวเขมรทุกคนขยันขันแข็งทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู่ดินพลิกผืนแผ่นดินที่ครั้งหนึ่งเคยเจิ่งนองไปด้วยเลือดและน้ำตาจากการต่อสู้ของชนชาติดียวกันเองให้กลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนดั่งเดิมอีกครั้งหนึ่ง


และในที่สุดไกด์เรดสมุทรก็พาเราเดินทางมาถึงยังทางขึ้นเขาพนมกุเลนปากทางขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาพนมกุเลน



มีที่จำหน่ายบัตรสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนละ 20 USD สำหรับชาวกัมพูชาเก็บคนละ2,000 เรียล หรือ 20 บาทเท่านั้นเองครับเป็นค่าอำนวยความสะดวกในการก่อสร้างถนนขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติเขาพนมกุเลนแห่งนี้



หลังจากซื้อบัตรเข้าชมเป็นที่เรียบร้อยแล้วไกด์เรด สมุทรก็พาเราเดินทางขึ้นเขาไปยังยอดเขาพนมกุเลน สำหรับการขึ้นลงเขาพนมกุเลนทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอุทยานแห่งชาติเขาพนมกุเลนเขาจะทำการปล่อยรถให้ขึ้นลงเป็นเวลาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุเพราะถนนขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาพนมกุเลนมีทางโค้งเยอะและแคบมากคือเจ้าหน้าที่เขาจะปล่อยรถขึ้นมาในตอนเช้าส่วนในตอนบ่ายจะห้ามรถขึ้นแต่จะปล่อยรถลงมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เผอิญในวันที่เราเดินทางมาเที่ยวชมนี้เป็นวันงานบุญสงกรานต์ชาวกัมพูชาจึงหอบลูกจูงหลานเดินทางขึ้นมาท่องเที่ยวทำบุญยังบนเขาพนมกุเลนกันอย่างคับคั่งกว่าปกติ ในอดีตเมื่อครั้งสงครามภายในประเทศกัมพูชาพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพนมกุเลนแห่งนี้อยู่ในเขตการปกครองของเขมรแดงมีกับระเบิดฝังอยู่เป็นจำนวนมากทุกวันนี้ก็ยังเก็บกู้ไม่หมดทางรัฐบาลกัมพูชาจึงไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวและชาวเขมรขึ้นมาท่องเที่ยว แต่ปัจจุบันสถานการณ์โลกปลี่ยนไปเขมรแดงสูญพันธุ์กลับไปเป็นชาวบ้านธรรมดากันหมดแล้วส่วนกับระเบิดก็โดนเก็บกู้ไปจนหมดสิ้นแล้วต่อมาในปีพ.ศ2536กัมพูชาเริ่มเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวเขาพนมกุเลนแห่งนี้ถูกจัดตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาท่องเที่ยวและเยี่ยมชมกันตามปกติครับ


รถยนต์ใช้เวลาเดินทางไม่นานนักก็พาเราเดินทางมาถึงยังพื้นที่บนสุดของอุทยานแห่งชาติเขาพนมกุเลนมีสถานที่จอดรถซึ่งคับคั่งไปด้วยรถยนต์นานาชนิดรวมทั้งชาวกัมพูชาต่างหอบลูกจูงหลานเดินทางขึ้นมาท่องเที่ยวบนอุทยานแห่งชาติเขาพนมกุเลนเหมือนกับมีมหกรรมงานวัดอย่างไงอย่างงั้นเลยครับหันไปทางไหนก็ได้ยินแต่ภาษาเขมรดังลั่นไปหมดชาวเขมรทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี


ไกด์เรด สมุทรพาเราสองคนเดินไปตามเส้นทางเดินเท้าโบราณซึ่งสองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านขายของฝากของที่ระลึกจากป่าเช่นสมุนไพรที่หามาได้จากป่าตลอดจนเครื่องรางของขลังสมัยโบราณ


และในที่สุดไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนเดินทางมาถึงยังบันไดนาคขึ้นไปยังวัดพระองค์ธม หรือวัดพระองค์ใหญ่ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติเขาพนมกุเลนมีห่างจากน้ำตกพนมกุเลนไม่มากนัก


เราสองคนเดินเท้าขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่ประดิษฐานอยู่ภายในโบสถ์ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเขาพนมกุเลน



พระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์นี้เดิมทีเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ต่อมาถูกแกะสลักเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขึ้นมาโดยช่างชาวเขมร


โดยฐานขององค์พระพุทธรูปองค์นี้ยังคงเป็นแท่งหินอยู่ ส่วนการขึ้นไปชมนั้นต้องปีนบันไดสูงยี่สิบเมตรขึ้นไปยังโบสถ์ลอยฟ้าที่สร้างขึ้นมาปกคลุมองค์พระไว้ พระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์นี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1701 ในรัชสมัยพระเจ้าศรีสุคนธบุตรและพระเจ้าองค์จันทร์ที่ 1ในขณะที่เราสามคนขึ้นมาสักการะบูชาพระพุทธรูปปางไสยาสน์นั้นเผอิญตรงกับวันสงกรานต์ซึ่งชาวกัมพูชาเรียกวันนี้ว่า “โจวชะนำทำมัย” จึงมีชาวกัมพูชาจำนวนมากต่างหอบลูกจูงหลานเดินทางขึ้นมาทำบุญปิดทองสรงน้ำพระปิดทองกันอย่างคับคั่ง


นอกจากนั้นบนโบสถ์ลอยฟ้าแห่งนี้ยังเป็นจุดชมวิวที่สวยงามสามารถมองเห็นผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์และเขียวขจีภายในอุทยานแห่งชาติพนมกุเลนอีกด้วยครับ


ไกด์เรด สมุทรพาเราสองคนเดินเท้าลงมาจากโบสถ์ลอยฟ้าเดินลัดเลาะตามทางเดินเท้าข้ามสะพานลวดสลิงที่แขวนไว้ข้ามลำธารน้ำซึ่งกำลังหนาแน่นไปด้วยเหล่าพี่น้องชาวกัมพูชาทีกำลังเดินข้ามสะพานกันทำให้เราทั้งสามคนต้องรีบเดินเพราะกลัวลวดสลิงจะรับน้ำหนักคนไม่ไหวสะพานเกิดขาดลงมาเกิดโศกนาฎกรรมกลางอุทยานแห่งชาติพนมกุเลน



ไกด์เรด สมุทรพาเราสองคนมานั่งพักผ่อนหย่อนใจพร้อมรับประทานอาหารกลางวันสไตล์เขมรกันที่ร้านอาหารร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้กับน้ำตกพนมกุเลนรับประทานอาหารไปพร้อมฟังเรื่องราวที่ไกด์กองเล่าถึงประวัติความเป็นมาของเขาพนมกุเลนให้เราสองคนฟังว่า


เขาพนมกุเลนถูกสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 14 ในรัชสมัยรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ศิลปะแบบกุเลนศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกายใน ภาษากัมพูชาคำว่า  “ พนม”  หมายถึงภูเขา    ส่วนคำว่า “กุเลน” หมายถึง ต้นลิ้นจี่ ชื่อนี้ได้มาจากบริเวณนี้เคยมีต้นลิ้นจี่มากนั่นเอง เขาพนมกุเลนหรือภาษาขอมโบราณเรียกว่า  “มเหนทรบรรพต” ในปัจจุบันเป็นเทือกเขาสูงทอดยาวมองจากไกลๆ คล้ายโบกี้รถไฟ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ได้สถาปนาศูนย์กลางเมืองหลวงขึ้นมาพร้อมๆ กับที่ได้สถาปนาลัทธิเทวราชาขึ้นมา เพื่อความต้องการทางการเมืองให้หลุดพ้นจากอำนาจของชวามีการประกอบพิธีกรรมโดยอัญเชิญพราหมณ์มาเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงประทับอยู่ที่เขาพนมกุเลนนานเท่าไร แต่นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าคงประทับอยู่ไม่นานเพราะเป็นภูเขาสูงชัน ภูมิประเทศจึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นเมืองหลวงเท่าใดนัก ในที่สุดพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ก็เสด็จกลับมาครองราชย์ที่เมืองหริหราลัยอีกครั้งหนึ่งและประทับอยู่จนถึงวันสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพก็ทรงเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ.1393 ภายหลังการเสด็จสวรรคตแล้วทรงได้รับพระนามว่า  “ปรเมศวร” หลังจากนั้นไม่มีกษัตริย์ขอมองค์ใดย้ายเมืองหลวงมาบนเขาพนมกุเลนอีกเลย หลังจากนั้นมาอีก 300 ปี จึงมีการสร้างมหาปราสาทนครวัดขึ้นร่องรอยของปราสาทบนเขาพนมกุเลนจึงพบเป็นปราสาทหลังเล็กๆ และมีสภาพทรุดโทรมลงมาก มีเพียงแต่ศิวลึงค์ที่ถูกแกะสลักอยู่ใต้น้ำนับพันอันที่ยังคงสภาพดีอยู่
สำหรับศิลปขอมค้นพบบนพนมกุเลนก็คือจำนวน ศิวลึงค์นับพันองค์อยู่ใต้น้ำ ศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย บูชาศิวลึงค์ว่าเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งที่มีชีวิต ศิวลึงค์นั้นหมายถึงอวัยวะเพศชายใช้แทนองค์พระศิวะ และฐานโยนีที่ล้อมรอบศิวลึงค์ ก็คืออวัยวะเพศหญิง ซึ่งก็คือนางอุมาเทวีชายาของพระศิวะนั่นเอง ชาวฮินดูเชื่อว่าตราบใดที่อวัยวะทั้งสองยังอยู่เคียงคู่กัน ตราบนั้นโลกจะอยู่เย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรืองสำหรับการบูชาศิวลึงค์นั้น พราหมณ์จะเป็นผู้นำน้ำมาราดบนส่วนหัวศิวลึงค์จากนั้นน้ำจะไหลออกไปยังช่องโยนี ลงไปสู่รางหินเรียกว่า “ท่อโสมสูตร”ชาวขอมโบราณจะนำภาชนะมารองรับน้ำนี้ไปดื่มกินรักษาโรคภัยไข้เจ็บเพราะเชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถรักษาโรคภัยได้  ส่วนการประกอบพิธีกรรมการปลุกเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ จะกระทำกันไม่ค่อยบ่อยนัก ซึ่งโดยปกติแล้วแท่งศิวลึงค์และแท่นโยนีจะถูกประดิษฐานไว้บนปรางค์ประธานยอดบนสุดขององค์ปราสาทต่างๆ เมื่อกระทำพิธีปลุกเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์จึงได้ปริมาณน้ำที่ไม่มากนักในขณะที่ชาวขอมโบราณต่างพากันนำภาชนะมารองรับน้ำกันมากมาย พระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2 ทรงแลเห็นว่าเป็นความยุ่งยากและน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกปลุกเสกขึ้นนั้นประชาชนจะได้รับไม่ทั่วถึงกลายเป็นเขมรมุงมาแย่งน้ำศักดิ์สิทธิ์กันพระองค์กลัวประชาชนจะเหยียบกันตายจึงเกิดปิงไอเดียที่จะทำให้ตลอดทั้งสายของแม่น้ำเสียมเรียบแห่งนี้กลายเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เหมือนแม่น้ำคงคาในประเทศอินเดีย พระองค์จึงทรงโปรดให้ช่างขอมโบราณทำการแกะสลักแท่งศิวลึงค์และแท่นโยนีให้อยู่ใต้ลำธารน้ำมันเสียเลยและเมื่อกระแสน้ำไหลผ่านรูปแกะสลักศิวลึงค์ใต้น้ำจะกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลลงสู่เรือกสวนไร่สร้างความอุดมสมบูรณ์ไปทั่วทั้งประเทศกัมพูชา


                                       
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันผ่านพ้นไปแล้วไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนเดินเท้าลัดเลาะไปตามลำธารน้ำเพื่อชมศิวลึงค์ที่จมอยู่ใต้น้ำ


สำหรับศิวลึงค์ที่จมอยู่ใต้น้ำบนภูเขาพนมกุเลนแห่งนี้เป็นจุดกำเนิดของแม่น้ำเสียมเรียบภูมิประเทศบนเขาพนมกุเลนมีลักษณะเป็นหินทรายอยู่ใต้ลำธารน้ำยาวหลายร้อยเมตรและก่อนที่จะทำการแกะสลักแท่งศิวลึงค์ใต้ลำธารน้าช่างขอมโบราณได้ทำการเปลี่ยนเส้นทางการไหลของสายน้ำเสียใหม่โดยสร้างเป็นทางเบี่ยงให้กระแสน้ำไหลลงไปอีกเส้นทางหนึ่ง เพื่อจะให้บริเวณที่จะทำการแกะสลักศิวลึงค์ใต้น้ำนั้นแห้งการแกะสลักศิวลึงค์จะกระทำได้โดยสะดวกและเมื่อการแกะสลักศิวลึงค์เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะทำการเปลี่ยนเส้นทางเดินของกระแสน้ำนั้นให้ไหลไปตามเส้นทางเดิมไหลลงสู่แม่น้ำเสียมเรียบจึงกลายเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ไปโดยอัตโนมัติ สำหรับศิวลึงค์ที่อยู่ใต้น้ำมีจำนวนมากถึง1,000 องค์ ซึ่งใช้แทนฤาษีหนึ่งพันตน


นอกจากศิวลึงค์แล้วยังมีรูปแกะสลักขององค์พระวิษณุเทพและพระอุมาเทวีถูกแกะสลักไว้เคียงคู่กันอีกด้วยครับ เขาพนมกุเลนจึงเป็นที่ตั้งของมเหนทรบรรพต คำว่า “มเหนคร” หมายถึง  “พระศิวะ” ส่วนบรรพตนั้นหมายถึง  “ภูเขา”


เพราะฉะนั้นความหมายของเมืองแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนกับเป็นที่อยู่ของพระศิวะ เขาพนมกุเลนจึงเป็นนิมิตรรูปของเขาพระสุเมรุที่มี 109 ยอด ยอดสูงสุดคือยอดเขาไกรลาศ อันเป็นที่อยู่ของพระศิวะและพระนางอุมาเทวี นอกจากนี้เขาพนมกุเลนยังเป็นสัญลักษณ์ของเทือกเขาหิมาลัย ที่มีแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ไหลลงมาจากสรวงสวรรค์มาหล่อเลี้ยงสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับชาวโลกอีกด้วยครับ  


หลังจากชมความมหัศจรรย์ของศิวลึงค์พันองค์แล้วไกด์เรด สมุทรพาเราสองคนเดินลัดเลาะมาตามลำธารน้ำสายน้ำในลำธารน้ำไหลลดหลั่นลงสู่เบื้องต่ำก่อให้เกิดชั้นของน้ำตกสวยงามถึงสองชั้นด้วยกัน ชั้นแรกเป็นน้ำตกชั้นเล็กแลดูสวยงาม กระแสน้ำไหลลัดเลาะลงมาตามลำธารน้ำ

จากนั้นจะไหลผ่านหน้าผาหินอันสูงชั้นลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่างเป็นม่านน้ำขนาดใหญ่ท่ามกลางป่าดงดิบที่โอบล้อมไปทั่วแอ่งน้ำเบื้องล่างเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวกัมพูชาที่เดินทางมาอาบน้ำยังแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์บนเขาพนมกุเลนนี้


เราสองคนเดินเที่ยวชมพร้อมกับนั่งพักผ่อนหย่อนใจกันที่น้ำตกพนมกุเลนดูสาวๆ ชาวเขมรเล่นน้ำตกกันอย่างเพลิดเพลินจนถึงเวลาบ่ายคล้อยได้เวลาเจ้าหน้าที่จะทำการปล่อยรถลงจากเขาพนมกุเลนแล้วเราทั้งสามคนเดินทางลงมาจากยอดเขาพนมกุเลนลงสู่เบื้องล่าง


                                                จากนั้นไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนเดินทางต่อไปยังโตนเลสาปที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเสียมเรียบระยะทางประมาณ 16 กม.



เราทั้งสามคนเดินทางมาถึงโตนเลสาปเมื่อเวลาบ่ายคล้อยจัดการตีตั๋วเรือนำเที่ยวเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นก็ลงเรือนำเที่ยวขับลัดเลาะลำคลองออกสู่โตนเลสาปทะเลสาปที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในเอเซียอาคเนย์


เราทั้งสามคนลงเรือท่องเที่ยวเรือลำหนึ่งนั่งได้ 8-10 คน พร้อมสวมชูชีพเพื่อความปลอดภัย


สำหรับราคาค่าบริการลำละ 8 USD ใช้เวลาท่องเที่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง สำหรับโตนเลสาปครอบคลุมพื้นที่ถึง 5 จังหวัดด้วยกันคือ เสียมเรียบ,พระตะบอง,พนมเปญ,กำปงชะนัง,กำปงทมในช่วงฤดูน้ำหลากน้ำจะท่วมกิน พื้นที่ถึง 7,500 ตารางกิโลเมตร ลึกถึง 10 เมตร กว้างที่สุด 30 กิโลเมตรยาว 130 กิโลเมตร ภายในโตนเลสาปอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำนานาชนิด เป็นทะเลสาปที่ ใหญ่ที่สุดในเอเซียอาคเนย์หลากหลายไปด้วยสังคมพืชและสัตว์น้ำนานาชนิดและ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนองค์การUnesco ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งหนึ่งของประเทศกัมพูชาและของโลก


อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาหารที่หล่อเลี้ยงชาวกัมพูชามาชั่วนาตาปี ชาวขอมโบราณที่มาสร้างมหาปราสาทนครวัดและปราสาทต่างๆ ในเมืองพระนครจะใช้โตนเลสาปแห่งนี้เป็นแหล่งอาหารหล่อเลี้ยงไพร่พลที่มาก่อสร้างปราสาทต่างๆอีกด้วยช่างเป็นเรื่องที่มองการณ์ไกลจริงๆที่ไม่ต้องลำบากกับการหาอาหารมาหล่อเลี้ยงไพร่พลจำนวนนับเป็นหมื่นๆคนที่มาสร้างมหาปราสาทนครวัดและปราสาทต่างๆในเมืองพระนคร


ภายในโตนเลสาปเป็นที่อยู่อาศัยของชาวประมงกัมพูชาและชาวเวียดนามโดยมีลักษณะเป็นหมู่บ้านชาวประมงในน้ำเหมือนกับทะเลสาปอินเลในประเทศพม่า ซึ่งภายในหมู่บ้านชาวประมงลอยน้ำมีโรงเรียน,โรงพยาบาล, สถานที่ราชการลอยน้ำ, และสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา กระชังเลี้ยงปลาน้ำจืดแม้กระทั่งจระเข้ตลอดจนร้านและเรือพายขายของโชว์ห่วยอีกด้วยหมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อว่าหมู่บ้าน “จมคะเนียง” ซึ่งแปลว่า “ปลายสุดของแผ่นดิน” ชาวประมงในโตนเลสาปมีอยู่ประมาณ 7,000 คน แต่รัฐบาลไม่ยอมออกโฉนดที่ดินให้แก่ชาวประมงที่อาศัยอยู่ริมโตนเลสาป แต่ให้ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้เท่านั้น นักท่องเที่ยวมักจะนิยมเรียกหมู่บ้านชาวประมงในโตนเลสาปแห่งนี้ว่า Water World หรือหมู่บ้านไร้แผ่นดินนั่นเองครับ


ชาวประมงในโตนเลสาปแห่งนี้ส่วนใหญ่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทำการประมงน้ำจืดจับปูจับปลามาขายเป็นรายได้หลักปลากรอบที่ทำมาจากปลาเนื้ออ่อนมีชื่อเสียงที่สุดของเขมรส่งมาขายยังเมืองไทยก็จับขึ้นมาจากทะเลสาปแห่งนี้ ปัจจุบันจำนวนของประชากรปลาในทะเลสาปปริมาณเริ่มลดน้อยถอยลงทุกที สาเหตุเพราะในอดีตที่ผ่านมาทางกรมประมงของกัมพูชาปล่อยปะละเลยไม่ได้ออกกฏหมายควบคุมการจับปลาอย่าง จริงจังชาวประมงทำการจับปลากันอย่างเสรีแม้แต่ในฤดูวางไข่โดยเฉพาะชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในโตนเลสาปจะทำการระเบิดปลากันเป็นประจำจนทางกรมประมงต้องออกกฎหมายควบคุมห้ามจับปลาในฤดูวางไข่โดยเด็ดขาด การทำประมงโดยผิดกฎหมายจึงได้บรรเทาเบาบางลงไปบ้าง
โดยเฉพาะชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในโตนเลสาปที่ลักลอบเดินทางเข้ามาพร้อมกับทหารเวียดนามในช่วงที่ทหารเวียดนามเดินทางเข้ามาในแผ่นดินกัมพูชาเพื่อขับไล่เขมรแดงจนกระทั่งทุกวันนี้ทหารเวียดนามเดินทางกลับบ้านกันไปหมดแล้วแต่ชาวประมงเวียดนามกลุ่มนี้ยังไม่ยอมกลับประเทศของตนอาศัยโตนเลสาปแห่งนี้ทำมาหากินสร้างบ้านทำแพลอยน้ำออกลูกออกหลานเป็นพลเมืองชั้นสองของกัมพูชามาจนตราบเท่าทุกวันนี้



ในอดีตเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาสมัยเขมรแดงยังเรืองอำนาจเคยมีเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจเกิดขึ้นกับชาวประมงเวียดนามที่อาศัยอยู่ในโตนเลสาปแห่งนี้โดยกองทหารเขมรแดงของพอลพตเคยยกพลลงมาในหมู่บ้านชาวประมงเวียดนามที่อาศัยอยู่ในทะเลสาปจากนั้นก็ทำการเข่นฆ่าชาวประมงเวียดนามทั้งผู้ชาย ผู้หญิงไม่ละเว้นแม้แต่ลูกเล็กเด็กแดงฆ่าเสร็จแล้วก็โยนศพทิ้งลงในโตนเลสาปจนน้ำในโตนเลสาปกลายเป็นสีเลือด สาเหตุที่ทหารเขมรแดงไม่ชอบชาวเวียดนามก็เพราะว่าชาวเวียดนามเข้ามาแย่งพื้นที่ทำมาหากินในโตนเลสาปแห่งนี้จากชาวเขมรและนั่นเป็นเรื่องเศร้าสลดที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายสิบปีล่วงมาแล้ว


ปัจจุบันชาวประมงเวียดนามก็ยังคงอาศัยทำมาหากินอยู่ในโตนเลสาปทางรัฐบาลกัมพูชาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ไล่ก็ไม่ยอมกลับประเทศจึงปล่อยเลยตามเลยยอมให้อาศัยทำมาหากินอยู่ตามมีตามเกิดในโตนเลสาปจนกลายเป็นพลเมืองชั้นสองไป เรือลำของเราทั้งสามคนแวะพักบนแพแห่งหนึ่งซึ่งถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยวบนแพเป็นฟาร์มเลี้ยงจระเข้ในกระชังไม้




นอจากนั้นยังมีสินค้าที่ทำจากหนังจระเข้และของที่ระลึกจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย


เราสองคนเที่ยวชมวิถีชีวิตของชาวประมงในโตนเลสาปจนสมควรแก่เวลดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า


จากนั้นจึงเดินทางกลับมายังโรงแรมที่พัก
สำหรับโรงแรมที่พักของเราสองคนในค่ำคืนนี้เปลี่ยนจากโรงแรม Tara Angkor Hotel มาเป็นโรงแรม City Angkor Hotel ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเสียมเรียบระยะทางประมาณ 1 กม.บนถนนถนนหมายเลข 6 ทางไปเมืองศรีโสภณ
โรงแรม City Angkor Hotel เป็นโรงแรมรุ่นแรกๆในเมืองเสียมเรียบเดิมใช้ชื่อเป็นภาษาเขมรว่า “นอกอกกทอลก”ซึ่งเป็นชื่อเรียกเมืองหลวงเก่าของอาณาจักรขอมโบราณเมื่อเกือบพันปีที่ผ่านมา


โรงแรม City Angkor Hotel ถูกจัดให้เป็นโรงแรมระดับสี่ดาวในเมืองเสียมเรียบในขณะนั้น โรงแรม City Angkor Hotel แห่งนี้ถึงจะเป็นโรงแรมเก่าไปสักนิดแต่ประวัติความเป็นมาของโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกับโรงแรมทั่วๆไปในเมืองเสียมเรียบเลยน่ะครับจะบอกให้เพราะเป็นโรงแรมที่เคยให้การต้อนรับบุคคลสำคัญของกัมพูชา เช่น ท่านฮุนเซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตลอดจนผู้นำและบรรดาทูตานุทูตหลายๆ ประเทศเช่นท่านทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยก็เคยเดินทางมาพักที่โรงแรมแห่งนี้เมื่อเร็วๆ นี้เองเห็นไหมครับว่าโรงแรมแห่งนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆแถมยังมีผู้จัดการเป็นคนไทยชื่อว่าพี่วิชัย พรประเสริฐ ผู้ใหญ่ใจดีของน้องๆ พี่วิชัยเคยเป็นผู้จัดการโรงแรมในเมืองเสียมเรียบและที่กรุงพนมเปญมาหลายโรงแรมอาศัยอยู่ในประเทศกัมพูชามาหลายสิบปีตั้งแต่กัมพูชาเริ่มเปิดประเทศใหม่ๆ จนสามารถพูดภาษาเขมรได้อย่างคล่องแคล่ว



สำหรับจำนวนห้องพักของโรงแรม City Angkor Hotel มีห้องพักทั้งหมด 150 ห้อง ราคา Walk In ห้องละ 50 USD ต่อคืน สนใจคลิ๊กเข้าไปชมรายละเอียดได้ที่
 City Angkor hotel Road, Siem Reap, Kingdom of Cambodia. Tel: (855-63) 760 336-9 Fax: (855-63) 760 340
Email : cah@thecityangkorhotel.com www.thecityangkorhotel.com
เราสองคนจัดการเก็บสัมภาระเข้าสู่ห้องพักจากนั้นอาบน้ำชำระร่างกายหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางและถ่ายภาพมาตลอดทั้งวันจากนั้นจึงเดินทางไปรับประทานอาหารที่ร้านเชียงใหม่ไทยฟู้ด


ซึ่งเป็นร้านอาหารของคุณออด๊คนไทยที่มาประกอบอาชีพเปิดร้านอาหารในเมืองเสียมเรียบมานาน20กว่าปีจนตั้งหลักปักฐานมีครอบครัวอยู่ในเมืองเขมรและตลอดระยะเวลาในการทำธุรกิจร้านอาหารในเมืองเสียมเรียบช่วงหลังๆพี่ออด๊ของเราล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอดสาเหตุมาจากวิกฤตการเมืองรัฐบาลทั้งสองประเทศไม่ถูกกันทำให้คนไทยไม่ค่อยอยากมาเที่ยวประเทศกัมพูชาทั้งยังโดนโรคระบาดไข้หวัดนกเล่นงานเข้าให้อีกการท่องเที่ยวซบเซาลงไป ปัจจุบันสถานการณ์การเมืองกลับเข้าสู่สภาวะปกติรัฐบาลทั้งสองประเทศหันกลับมาคืนดีกันบรรยากาศการท่องเที่ยวเริ่มสดใส ทำให้ร้านอาหารของพี่ออด๊ลืมตาอ้าปากกับเขาได้บ้าง  


ท่านผู้อ่านที่เดินทางมาเที่ยวเมืองเสียมเรียบแล้วอยากรับประทานอาหารไทยผมขอเชิญได้ที่ร้านเชียงใหม่ไทยฟู้ดของพี่ออด๊มีเมนูอาหารไทยให้ท่านผู้อ่านได้รับประทานอาทิเช่นต้มยำปลากรอบ,ยำปลากรอบรสชาติจัดจ้านแบบไทยๆ


ร้านเชียงใหม่ไทยฟู้ดสามารถรองรับกรุ๊ปทัวร์ไทยได้เป็นหมู่คณะ120-150คน
สำหรับร้านเชียงใหม่ไทยฟู้ดตั้งอยู่ในเมืองเสียมเรียบในซอยด้านหลังของภัตตาคารโตนเลสาปลึกเข้าไปประมาณ50เมตรจะเป็นที่ตั้งของร้านเชียงใหม่ไทยฟู้ดถ้ามาไม่ถูกโทรศัพท์มาหาพี่ออด๊ได้ที่โทรศัพท์ 092 318 384 แค่บอกชื่อร้านรถมอเตอร์ไวด์รับจ้างในเมืองเสียมเรียบก็พามาถูกครับ
                                                เราสองคนไต่ถามสาระทุกข์สุกดิบตามประสาคนที่รู้จักกันมานานหลายปีจากนั้นจึงร่วมวงกันรับประทานอาหารค่ำด้วยความเอร็ดอร่อย  หลังจากอาหารค่ำผ่านพ้นไปแล้วเราสองคนขอตัวพี่ออด๊ดินทางกลับโรงแรมไปพักผ่อนเอาแรงไว้เดินทางท่องเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้น…โชคดีน่ะครับพี่ออด๊
พรุ่งนี้เราสองคนจะเดินทางท่องเที่ยวเมืองเสียบเรียบในแบบ Life Style กับครับ.
วันที่สี่ของการเดินทาง

หลังจากจัดการกับอาหารเช้าที่โรงแรม City Angkor Hotel เป็นที่เรียบร้อยแล้วเราสองคนเดินมาที่ล๊อบบี้ของโรงแรมพร้อมกับกล่าวคำว่า “อรุณสวัสดิ์” กับไกด์เรด สมุทร


จากนั้นไกด์เรด สมุทรบอกเราว่าวันนี้จะพาเราสองคนไปท่องเที่ยวยังหมู่บ้านชาวประมงโบราณกัมปงพลั๊วที่ตั้งอยู่ในโตนเลสาปเขมรสภาพคล้ายกันกับหมู่บ้านชาวประมงในโตนเลสาปที่ไกด์เรด สมุทร พาเราสองคนเดินทางไปเที่ยวชมมาเมื่อเย็นวานนี้
แต่จะแตกต่างกันที่หมู่บ้านชาวประมงที่กัมปงพลั๊วจะเป็นชาวเขมรล้วนๆไม่มีชาวเวียตนามอาศัยอยู่เลยและเป็นหมู่บ้านที่มีสองบรรยากาศคือในช่วงฤดูฝนน้ำในโตนเลสาปจะหลากขึ้นมาท่วมสูงถึงหัวกะไดบ้านที่มีสร้างบ้านสูงจากพื้นดินประมาณ 10 เมตร แต่ในช่วงฤดูร้อนน้ำในโตนเลสาปจะลดลงจนแห้งสนิทจากนั้นสภาพหมู่บ้านกัมปงพลั๊วจะเหมือนหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทั่วๆไปในประเทศกัมพูชา หมู่บ้านชาวประมงกัมปงพลั๊วจะมีความแปลกแตกต่างจากหมู่บ้านอื่นๆ ในประเทศกัมพูชาอย่างที่ไกด์เรด สมุทร เล่ามาหรือไม่เราทั้งสามคนขออาสาพาเราท่านผู้อ่านเดินทางไปเที่ยวชมกันครับ ส่วนภาพถ่าย3ภาพข้างล่างนี้เป็นภาพถ่ายทางอากาศของหมู่บ้านกัมปงพลั๊วครับ


เราสามคนกลับมาใช้บริการของรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างเหมือนเช่นเดิมเพราะสภาพถนนไปยังหมู่บ้านกัมปงพลั๊วไม่ต้องขึ้นเขาเหมือนพนมกุเลนอีกต่อไปแล้ว
จากตัวเมืองเสียมเรียบคนขับรถรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างพาไกด์เรด สมุทรและเราสองคนไปตามถนนหมายเลข 6 บนถนนสาย พนมเปญ- เสียมเรียบ ห่างจากตัวเมืองเสียบเรียบไปทางทิศตะวันออกสู่กรุงพนมเปญระยะทาง ประมาณ 16 กิโลเมตร


จากนั้นจะมีป้ายบอกทางเข้าหมู่บ้านทางขวามือ รถรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างพาเราสองคนเข้าไปตามถนนระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร สภาพถนนลูกรังค่อนข้างขรุขระขนานไปกับลำคลองเล็กๆที่ไหลลงสู่ทะเลสาป


เราใช้เวลาไม่นานนักก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งแรกคือหมู่ บ้านถนนขบถซึ่งแปลเป็นไทยว่า “ถนนขาด” รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างวิ่งเลยหมู่ บ้านถนนขบถมาเล็กน้อยก็จะเป็นหมู่บ้านกะไดหอมซึ่งแปลว่า “ดินแดง” และหมู่บ้านสุดท้ายที่เราทั้งสามคนเดินทางมาถึงก็คือหมู่บ้านเนินโกลล ทั้งสามหมู่บ้านนี้เรียกว่า “ชุมชนกัมปงพลั๊ว” สำหรับชุมชนชาวกัมปงพลั๊วแห่งนี้มีจำนวนประชากร 630 หลังคาเรือนส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชานับถือศาสนา พุทธ ,ฮินดูและผี ตามความเชื่อที่มีมาแต่ครั้งโบราณ ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางการทำประมงหาปลาในโตนเลสาบเขมรเพราะทั้งสามหมู่บ้านตั้งอยู่ภายในโตนเลสาบเขมร


ในช่วงฤดูแล้งระหว่างเดือน ก.พ - ก.คน้ำภายในทะเลสาปเขมรจะลดปริมาณลงจนทั้งสามหมู่บ้านในชุมชนชาวกัมปงพลัวะแห่งนี้พื้นดินจะแห้งผากปราศจากน้ำจะมีก็แต่น้ำจากทะเลสาปเขมรไหลเป็นลำคลองเล็กๆเข้าไปในหมู่บ้านมองดูเผินๆคล้ายหมู่บ้านทั้งสามแห่งนี้ตั้งอยู่บนบกไม่แตกต่างจากหมู่บ้านตามชนบททั่วๆไปในประเทศกัมพูชา


แต่เมื่อฤดูแล้งผ่านเลยไปเข้าสู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก(ก.ย – ม.ค )ปริมาณของน้ำในทะเลสาปเขมรจะเพิ่มมากขึ้นโดยจะมีปริมาณน้ำสูงขึ้นประมาณ4-5เมตร จนทำให้หมู่บ้านทั้งสามแห่งนี้จมอยู่ในน้ำ มองดูเหมือนหมู่บ้านลอยน้ำอย่างไงอย่างงั้น เพราะฉะนั้นบ้านทุกๆหลังในชุมชนชาวกัมปงพลุกแห่งนี้จึงออกแบบสร้างบ้านแบบยกใต้ถุนสูงเกิน8-10เมตรทุกหลังคาเรือนเพื่อป้องกันน้ำท่วมถึงในช่วงของฤดูฝนน้ำในทะเลสาปเขมรจะมีปริมาณสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับวัสดุที่นำมาใช้ทำเสาบ้านเป็นไม้เนื้อแข็งอย่างดีป้องกันการผุกร่อนซึ่งหาได้ง่ายในบริเวณทะเลสาบเขมรนี้เอง


นอกจากนี้บ้านทุกๆหลังได้จัดสร้างสถานที่จอดเรือใต้ถุนบ้านในช่วงฤดูน้ำหลากและในช่วงฤดูแล้งน้ำเหือดแห้งจะแปรเปลี่ยนสภาพมาเป็นคอกเลี้ยงวัวและโรงเก็บเกวียนอีกด้วย


นอกจากนี้ภายในชุมชนชาวกัมปงพลัวะยังมี วัดแห่งหนึ่งมีชื่อว่าวัดกัมปงพลัวะชื่อเดียวกันกับชุมชนตั้งอยู่บนเนินเขาในบริเวณที่น้ำท่วมไม่ถึงชาวกัมพูชาที่มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ช่วยกันสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวกัมพูชาที่นับถือศาสนาพุทธ ได้เดินทางมาประกอบพิธีในวันสำคัญทางศาสนาอีกด้วย


นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนระดับประถมที่ทางรัฐบาลกัมพูชาได้สร้างขึ้นไว้ให้ความรู้แก่ลูกหลานชาวกัมพูชาตัวน้อยๆได้มาศึกษาเล่าเรียนหาความรู้ในชุมชนชาวกัมปงพลัวะแห่งนี้อีกด้วย


ภายในชุมชนชาวกัมปงพลัวะแห่งนี้ชาวบ้านได้ร่วมมือกันจัดสร้างบ้านพักบนต้นไม้ในป่าดึกดำบรรพ์ที่เต็มไปด้วยต้นรังน้ำขนาดใหญ่บกอายุนับร้อยปีพร้อมจัดกิจกรรมท่องเที่ยวในรูปแบบของ Homestayไว้ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังชุมชนชาวกัมปงพลัวะแล้วเกิดติดอกติดใจอยากจะพักค้างแรมภายในหมู่บ้านในอัตราค่าบริการคนละ 5USD ต่อคืนเดินทางมาเป็นหมู่คณะคิดเพียงคนละ 3 USD พร้อมอาหารอีกคนละ 5 USD ต่อคนอีกด้วย


นอกจากนี้แล้วยังมีบริการเรือทัวร์ท่องเที่ยว เที่ยวชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกัมพูชาและความอุดมสมบูรณ์ของป่ารังยักษ์ต้นไม้สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นภายในทะเลสาบเขมรในอัตราค่าบริการเรือหางยาวลำละ 15-20 USD นั่งได้ 8 คนใช้เวลาในการนั่งเรือเที่ยวชมประมาณ1-2 ชั่วโมง


สำหรับหมู่บ้านชาวกัมปงพลัวะหรือ “หมู่บ้านสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก”ที่เราสองคนได้มีโอกาส เดินทางมาสำรวจในครั้งนี้มีความแตกต่างจากหมู่บ้านชาวประมงลอยน้ำแห่งอื่นๆที่ทางบริษัททัวร์ชอบพานักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมก็คือ
หมู่บ้านชาวประมงลอยน้ำในทะเลสาปเขมรที่ทางบริษัททัวร์ทุกแห่งได้จัดโปรแกรมทัวร์3-2คืนท่องเที่ยวมหาปราสาทนครวัด – นครทมเป็นหมู่คณะแล้ว มักจะพานักท่องเที่ยวมาล่องเรือเที่ยวชมทะเลสาปเขมรและหมู่บ้านชาวประมงที่สร้างบ้านเรือนอยู่บนแพลอยน้ำ ซึ่งในช่วงฤดูแล้งยามน้ำลดแพลอยน้ำที่ถูกสร้างเป็นที่อยู่อาศัยเหล่านี้ก็จะลอยตามน้ำถอยลงไปตามปริมาณของน้ำที่ลดลงในทะเลสาปเขมร
แต่พอย่างเข้าสู่ช่วงฤดูฝนปริมาณน้ำในทะเลสาปจะเพิ่มมากขึ้นและจะดันให้แพเหล่านี้ลอยเข้ามาใกล้ฝั่งมากขึ้นลักษณะคล้ายกับหมู่บ้านลอยน้ำ
แต่สำหรับชุมชนกัมปงพลัวะหรือหมู่บ้านสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกแห่งนี้จะตั้งบ้านเรือนยึดติดอยู่กับพื้นดินยกสูงขึ้นมาจากพื้นดินความสูงประมาณ 8-10 เมตรเพื่อป้องกันน้ำท่วมถึงในฤดูฝนแต่เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งปริมาณน้ำลดลงบ้านเรือนของชาวประมงจะไม่ลอยตามไปกับกระแสน้ำแต่ยังคงตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่แห่งเดิมหมุนเวียนไปตามฤดูกาลนานนับร้อยปีสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณ


สำหรับการดำรงชีวิตของชาวชุมชนกัมปงพลัวะก็จะปลูกข้าวและพืชผักตามฤดูกาลแบบเศรษฐกิจพอเพียงควบคู่ไปกับการทำการประมงหาปลา
เป็นอาชีพหลักที่ปฏิบัติกันเรื่อยมาเป็นกิจวัตรประจำวัน


พอผมได้มาเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวกัมพูชาที่หมู่บ้านกัมปงพลัวะแห่งนี้แล้ว จึงใคร่อยากจะขอเชิญชวนรัฐบาลที่กำลังหาทางป้องกันน้ำท่วมตลอดจนบรรดาสถาปนิกชาวไทยที่เชี่ยวชาญในเรื่องการออกแบบสร้างบ้านป้องกันน้ำท่วมได้มาศึกษาและดูงานกันที่หมู่บ้านชาวกัมปงพลัวะแห่งนี้กันดูบ้างน่ะครับ
จะได้ทราบว่าชาวกัมพูชาเขาออกแบบสร้างบ้านป้องกันน้ำท่วมกันอย่างไรและดำรงชีวิตอยู่กับน้ำได้อย่างไรโดยไม่ต้องไปดูงานไกลถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ ดินแดนที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลให้เสียเวลาและสิ้นเปลืองเงินภาษีอากรของประชาชนไปเปล่าๆครับ.


จากนั้นไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนลงเรือเที่ยวชมพร้อมเก็บภาพบรรยากาศตลอดจนวิถีชีวิตชาวกัมพูชาภายในโตนเลสาปเขมรในหมู่บ้านกัมปงพลั๊วะมาฝากท่านผู้อ่านเชิญชมได้ครับ


จากนั้นจึงพาเราสองคนเดินทางกลับมายังเมืองเสียมเรียบไปตามถนนหมายเล6ปอยเปต-เสียมเรียบเลยทางแยกสนามบินเสียมเรียบไปประมาณ1ก.มจะมีทางแยกขวามือถนนลูกรังระยะทางประมาณ500เมตรเข้าไปยังบารายตะวันตก(West Baray)ตามความหมายของภาษากัมพูชาแปลว่าสระน้ำขนาดใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เมื่อครั้งอาณาจักรขอมเริ่มเรืองอำนาจตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองพระนคร


โดยสระน้ำมีขนาดความกว้าง 2.2 กิโลเมตร ยาว 8 กิโลเมตร ลึกโดยเฉลี่ย 7 เมตร มีพื้นที่ 1,760 เฮกเตอร์ จุน้ำได้ราว 123 ล้านลูกบาศก์ลิตร ใจกลางของบาราย มีเกาะเล็กๆเกาะหนึ่งบนเกาะป็นที่ตั้งของปราสาทขอมเรียกว่า “ปราสาทแม่บุญตะวันตก”สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่1ปัจจุบันองค์ปราสาทพังทลายลงหมดแล้วเหลือแต่กำแพงปราสาท4 ด้านซึ่งปัจจุบันทรุดโทรมลงมากปัจจุบันทางรัฐบาลกัมพูชาได้ปรับปรุงสร้างบารายแห่งนี้ให้เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ใช้ในการชลประทานและการเกษตรกรรม


สำหรับปริมาณน้ำภายในบารายแห่งนี้ตั้งแต่1,000ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันไม่เคยเหือดแห้งลงไปเลยแม้ในประเทศกัมพูชาจะแห้งแล้งขนาดไหนก็ตามแต่ปริมาณน้ำภายในบารยยังคงมีปริมาณเท่าเดิมและในช่วงฤดูฝนปริมาณน้ำในบารายจะสูงขึ้นตามฤดูกาล บารายแห่งนี้สามารถใช้เป็นแหล่งทำประมงน้ำจืด และใช้เป็นสถานที่พักผ่อนของชาวเมืองเสียมเรียบเปรียบได้กับบางแสนของบ้านเราแต่ทะเลของเขมรเป็นน้ำจืดส่วนไทยเป็นน้ำเค็มบริเวณด้านบนของอ่างเก็บน้ำมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว


ตลอดจนร้านอาหารแบบชาวบ้านๆไว้บริการแก่ชาวกัมพูชาที่หอบลูกจุงหลานเดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เห็นเมนูอาหารไก่บ้านย่างและอึ่งอ่างย่างน้ำลายแทบหกเพราะมันเหลืองน่าทานจริงๆครับท่านผู้อ่านไม่เชื่อเชิญชมรูปอาหารได้ครับ.


จากนั้นไกด์เรดสมุทรพาเราสองคนมารับประทานอาหารกลางวันร้านอาหารแบบชาวบ้านๆ ตั้งอยู่กลางทุ่งนาทางไปบาราย(สระน้ำ) บนถนนหมายเลข 6


สำหรับเมนูอาหารกลางวันของเราสองคนในมื้อนี้เป็นเมนูอาหารเขมร เช่น มวนดอด ซึ่งแปลเป็นไทยว่าไก่บ้านย่าง เป็นไก่บ้านนำมาย่างจริงๆ น่ะครับไม่ใช่เอาไก่ฟาร์มมาย่างแล้วขายในราคาไก่บ้านย่างเหมือนบ้านเราน่ะครับ โดยเขาจะทำการย่างไก่มาทั้งตัวเลยครับไม่มีการตัดส่วนหนึ่งส่วนใดออกเมื่อสุกแล้วก็จะนำมาวางคว่ำบนจานทั้งตัวเลยครับไม่มีการสับไก่เป็นชิ้นๆ เหมือนบ้านเราเวลากินเขาก็จะฉีกแล้วแบ่งกันกินทั้งตัวเลยครับน้ำจิ้มไก่แม่ศรีไม่มีจะมีก็แต่น้ำจิ้มสูตรเดียวของเขมรเวอร์ชั่นเดียวทั่วประเทศก็คือพริกไทผสมกับเกลือป่นบีบน้ำมะนาวลงไปไม่มีน้ำปลาพริกป่นน่ะครับเพราะคนเขมรเขาไม่นิยมกินเผ็ดเหมือนคนไทยก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกเหมือนกันน่ะครับที่คนอีสานบ้านเราที่มีพรมแดนใกล้ชิดติดกับประเทศกัมพูชานิยมกินอาหารรสจัดหรือเผ็ดจัดแต่คนเขมรไม่นิยมกินเผ็ด สำหรับไก่บ้านย่างราคาตัวละ 300 บาท ราคาแพงเอาการอยู่เหมือนกันน่ะครับแต่ต้องยอมรับล่ะครับว่าไก่เขมรอร่อยกว่าไก่ไทยมากครับ


นอกจาก มวนดอด หรือไก่บ้านย่างแล้วก็ยังมี ไตอัง หรือ ปลาเผา ไม่ใช่ปลาทับทิมหรือปลานิลนำมาเผาน่ะครับแต่ที่กัมพูชานี่เขาจะนำปลาช่อน,ปลาดุก,ปลาหมอที่ไม่ใช่ปลาเลี้ยงในบ่อน่ะครับแต่เป็นปลาที่ชาวบ้านหามาได้ตามท้องไร่ท้องนาครับ


เมนูต่อมาก็คือผัดกบภาษาเขมรเรียกว่า “กองแกลบชากะเดา” หน้าตาก็เหมือนกับผัดกระเพรากบบ้านเราเลยครับแต่ที่เขมรเขาจะใส่ใบยี่หร่าส่วนพริกสดนั้นใส่นิดหน่อยส่วนกบที่นำมาผัดนั้นเป็นกบนาแท้ๆ น่ะครับไม่ใช่กบเลี้ยงเหมือนบ้านเรา
ส่วนบรรยากาศในร้านอาหารเขมรก็แตกต่างจากร้านอาหารไทยโดยทางเขมรเขาจะแบ่งที่นั่งออกเป็นซุ้มๆ ครับ ซุ้มใครซุ้มมันซุ้มแต่ละซุ้มก็ทำขึ้นมาแบบง่ายๆ หลังคามุงด้วยหญ้าแฝกส่วนพื้นปูด้วยไม้ไผ่ไม่มีโต๊เก้าอี้วางให้เกะกะคนเขมรเข้าจะนิยมนั่งกินอาหารกับพื้นแบบสบายๆและจะมากินอาหารกันเป็นครอบครัว และทุกๆ ซุ้มที่นั่งรับประทานอาหารจะมีเปลญวนผูกไว้ทุกซุ้มเพื่อให้ลูกค้าที่กินอาหารอิ่มแล้วได้เอนหลังพักผ่อนบนเปลลูกค้าบางคนกินอาหารเสร็จก็จะมาเอนนอนหลับไปเลย คนเขมรส่วนใหญ่เขาจะนิยมกินอาหารด้วยมือกันครับไม่นิยมใช้ช้อนซ่อมจะใช้ช้อนซ่อมก็ต่อเมื่อกินก๋วยเตี๋ยว,ขนมจีนหรือในร้านอาหารที่นั่งกินบนโต๊ะเก้าอี้เท่านั้นส่วนร้านอาหารแบบชาวบ้านๆ นิยมกินอาหารด้วยมือกันแทบทั้งนั้นเลยครับดังนั้นร้านอาหารจึงจำเป็นต้องจัดเตรียมอ่างล้างมือพร้อมสบู่ไว้ให้ลูกค้าได้ล้างมือก่อนและหลังรับประทานอาหารเพื่อสุขอนามัยของลูกค้า เห็นไหมล่ะครับว่าปัจจุบันร้านอาหารในประเทศกัมพูชากำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดี บางร้านถึงกับมีหม้อต้มน้ำร้อนให้ลูกค้าได้ลวกช้อนลวกซ่อมก่อนที่จะนำมารับประทานอาหารอีกด้วยครับไกด์กองและเราทั้งสองคนนั่งกินอาหารด้วยมือฉีกไก่ย่างกินด้วยความเอร็ดอร่อยหลังจากจัดการอาหารจนไก่ย่างและปลาเผาเหลือแต่ซี่โครงไก่กับก้างปลาแล้ว จากนั้นเมื่อท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อนนอนหลับพักผ่อนกันบนเปลญวนแกว่งไปมาจนเคลิ้มหลับไปในที่สุดมาสะดุ้งตื่นขึ้นอีกทีก็เมื่อเวลาบ่ายคล้อย


จากนั้นไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนเดินทางไปท่องเที่ยวยังศูนย์วัฒนธรรมเมืองเสียมเรียบตั้งอยู่ริมถนนหมายเลข6ห่างจากเมืองเสียมเรียบมาทางถนนไปปอยเปตระยะทางประมาณ3 ก.มใกล้ๆกับภัตตาคารทะเลแม่โขง


เราสองคนซื้อบัตรเข้าชมภายในของศูนย์วัฒนธรรมเมืองเสียมเรียบราคาคนละ12 USD ส่วนไกด์เรด สมุทรเข้าฟรีครับภายในศูนย์วัฒนธรรมฯมรรถไฟฟ้าให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่ขี้เกียจเดินได้ใช้บริการนั่งรถเที่ยวชมภายในศูนย์วัฒนธรรมที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่มาก


สำหรับศูนย์วัฒนธรรมเมืองเสียมเรียบมีพื้นที่ทั้งหมด 210,000 ตารางเมตร ภายในมีห้องจัดแสดงติดแอร์คอนดิชั่นเย็นฉ่ำนำเสนอเรื่องราวประวัติความเป็นมาอันรุ่งเรืองของอาณาจักรขอมโบราณตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยมีภาพรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งนำเสนอเป็นรูปจำลองการสร้างมหาปราสาทนครวัด,ภาพกองทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงทำสงครามกับพวกจาม,ภาพเจ้านโรดมสีหนุอดีตกษัตริย์กัมพูชาเคียงคู่อยู่กับเจ้าหญิงโมนิคพระชายา,ภาพของจูตากวนราชทูตจากจีนที่เดินทางเข้ามาเป็นทูตอยู่ในอาณาจักรขอมและต่อมาได้เขียนบันทึกเรื่องราวความเป็นมาในอาณาจักรขอมเป็นคนแรกตลอดจนภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขมรในอดีตที่ผ่านมารูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งแต่ละรูปให้ความรู้สึกที่เหมือนมีชีวิตจริงๆ


ส่วนบริเวณพื้นที่ภายนอกโดยรอบของศูนย์วัฒนธรรมเมืองเสียมเรียบยังย่อส่วนสถานที่สำคัญในประเทศกัมพูชามาจัดแสดงให้ผู้ที่เดินทางมาเที่ยวชมได้ชม อาทิเช่น พระบรมมหาราชวังในกรุงพนมเปญ,เจดีย์วัดพนม,เจดีย์บนยอดเขาอุดงมีชัย,ตลาดซาทำมัยหรือตลาดรัสเซีย,อนุสาวีย์แห่งสันติภาพที่ตั้งอยู่กลางวงเวียนใจกลางกรุงพนมเปญ ฯลฯ


นอกจากนี้ภายในศูนย์วัฒนธรรมเมืองเสียมเรียบยังจัดแสดงขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศกัมพูชา เช่น พิธีแต่งงาน,บวชพระ และการแสดงประเพณีวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ ที่ดำรงชีวิตอยู่ในประเทศกัมพูชาที่มีอยู่ถึง 19 ชนเผ่าการแสดงของแต่ละชนเผ่าน่าดูน่าชมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการแสดงของชนเผ่าต่างๆ จะจัดแสดงวันละเพียงหนึ่งรอบคือรอบตั้งแต่เวลา 15.00 น. เท่านั้นน่ะครับอย่าหลงเดินทางเข้าไปชมผิดเวลาล่ะครับ


สำหรับท่านผู้อ่านที่สนใจรายละเอียดของศูนย์วัฒนธรรมเมืองเสียมเรียบสามารถคลิ๊กเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.cambodianculturalvillage.com ได้เลยครับ
เราสองคนเดินทางออกมาจากศูนย์วัฒนธรรมเมืองเสียมเรียบเมื่อดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าลงไปแล้ว จากนั้นไกด์เรด สมุทรอาสาพาเราสองคนเดินทางไปเลี้ยงอาหารเย็นที่บ้าน ผมตอบตกลงจะได้รับประทานอาหารเย็นจัดเต็มสไตล์เขมรกันในมื้อนี้ล่ะครับ ที่บ้านของไกด์เรด สมุทรภรรยาของไกด์เรด สมุทรได้จัดเตรียมอาหารเขมรไว้รองรับเราสองคนซึ่งเมนูอาหารเขมรประกอบไปด้วย ตร๊อพชจู๊ปตรำ (ผัดมะเขือเผาใส่หมูสับ),ไตขอมโปงตึกจรวยออมเปอตุม (น้ำปลาหวานสะเดา) ซอมลอเกาโก(แกงออมปลา) และกรอเอาซู้บ (รากบัวผัดน้ำมันหอย)รับประทานกับข้าวหอมมะลิร้อนๆ ชงันเตดีแท้ๆ (อร่อยมาก)


หลังจากอาหารค่ำผ่านพ้นไปแล้วไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนกลับมาส่งที่โรงแรม City Angkor Hotel เพื่อพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ท่องเที่ยวต่อไปในวันรุ่งขึ้นครับ.
วันที่ห้าของการเดินทาง

                                      หลังจากปฎิบัติภาระกิจส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วไกด์เรด สมุทรพาเราสองคนเดินทางออกจากโรงแรม City Angkor hotel ด้วยรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างมารับประทานอาหารเช้ากันที่ร้านอาหารบันทายศรีชื่อร้านเหมือนกับปราสาทบันทายศรีที่เราสองคนเดินทางไปเที่ยวชมมาเมื่อสองวันก่อนเลยน่ะครับ


                  ร้านอาหารบันทายศรีเป็นร้านอาหารเก่าแก่ร้านหนึ่งตั้งอยู่ริมถนนหมายเลข6(เสียมเรียบ-ปอยเปต)ภายในเมืองเสียมเรียบถ้าท่านผู้อ่านมาไม่ถูกถามคนขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างดูจะรู้จักร้านอาหารบันทายศรีเป็นอย่างดีครับ เพราะเป็นร้านที่ได้รับความนิยมจากชาวกัมพูชาผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองเสียมเรียบนิยมมานั่งรับประทานอาหารกันที่ร้านบันทายศรีแห่งนี้เป็นประจำเพราะอาหารอร่อยและราคาไม่แพงจนเกินไปนักส่วนบรรยากาศภายในร้านบันทายศรีอาจจะดูดีกว่าร้านอาหารไอหงที่เราสองคนไปรับประทานอาหารเช้ามาเมื่อเช้าวานนี้ซึ่งร้านไอหงบรรยากาศจะแลดูเป็นธรรมชาติมากกว่าสำหรับบริษัททัวร์ไทยแล้วจะไม่ค่อยนิยมพาลูกทัวร์มารับประทานอาหารเช้าภายนอกโรงแรมส่วนใหญ่จะให้รับประทานอาหารเช้ากันภายในโรงแรมที่เข้าพักเลยเพราะสะดวกที่สุดร้านอาหารบันทายศรีจึงไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยมากนักแต่สำหรับนักท่องเที่ยวประเภทแบกเป้เดินทางมาเที่ยวเองจะรู้จักร้านนี้เป็นอย่างดี
ไกด์เรด สมุทรพาเราสองคนเข้ามานั่งภายในร้านพร้อมอ่านเมนูอาหารให้เราฟังเป็นภาษาเขมรจากนั้นจึงแนะนำอาหารเช้าให้เราสองคนเมนูแรกที่สั่งก็คือกาแฟเดาะโกกะเดา(กาแฟร้อน)ราคา 2,000เรียล (20บาท)ติดตามด้วยปังเลียบเบอ (ขนมปังฝรั่งเศสทาเนย)3,000เรียล(30บาท)บอบอไต(ข้าวต้มปลา) 5,000เรียล(50บาท)


ส่วนผมขอสั่งเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งก็คือรกรัก(ข้าวหน้าเนื้อวัวชื่อดูออกจะน่ากลัวแต่เมื่อเสริฟออกมาแล้วดูออกจะหน้ากินมากกว่าครับท่านผู้อ่านไม่เชื่อเชิญชมรูปรกรักได้เลยครับ
นี่ไงหน้าตาของรกรัก....น่ากินไหมครับท่าน



                                    คำว่ารกรักเป็นภาษาเขมรแปลเป็นไทยว่าข้าวหน้าเนื้อหรือจะเป็นข้าวหน้าหมูก็ได้แล้วแต่เราจะสั่งว่าเป็นเนื้อวัว(โก)หรือเนื้อหมู(จรู๊ป)แต่จะเป็นเนื้อวัวหรือเนื้อหมูก็อร่อยทั้งนั้นล่ะครับท่านผู้อ่านสนนราคาจานละ6,000เรียล(60บาท)

                                            สำหรับบอบอไต(ข้าวต้มปลา)ดูรูปจะแตกต่างกับบ้านเราตรงที่ข้าวต้มปลาสูตรของเขมรเขาจะมีถั่วงอกหัวโตๆตัวอ้วนๆป้อมๆลวกแล้วแยกใส่จานมาให้อีกจานหนึ่งพร้อมน้ำเต้าเจี้ยวใครจะใส่ถั่วงอกก็ได้หรือจะไม่ใส่ก็ได้ตามใจชอบแต่ผมชอบที่จะใส่ถั่วงอกมากว่าเพราะอร่อยดีสนนราคาจานละ5000เรียล(50บาท)


ทริปนี้เราสองคนพาท่านผู้อ่านมาเที่ยวหรือว่าจะพาท่านผู้อ่านมาชิมอาหารเขมรกันแน่ครับนี่ เอาเป็นว่าเที่ยวไปกินไปแบบ Life Style กันดีกว่าครับ.
หลังจากจัดการอาหารเช้าที่ร้านอาหารบันทายศรีเป็นที่เรียบร้อยแล้วผมสั่งปาเตหรือขนมปังฝรั่งเศสทาเนยสอดไส้ด้วยหมูยอและแตงกวาดองราคาอันละ30บาทติดไม้ติดมือไปเป็นอาหารกลางวันระหว่างทางอีกด้วยเพราะขนมปังปาเตที่อร่อยที่สุดในอินโดจีนก็ต้องที่กัมพูชาเท่านั้นที่ลาวและเวียดนามผมว่ารสชาติปาเตยังอร่อยสู้ที่กัมพูชาไม่ได้ไม่เชื่อท่านผู้อ่านเดินทางมาเที่ยวเมืองเสียมเรียบเมื่อไรลองมาชิมดูหากินได้ง่ายตามรถเข็นทั่วไปคล้ายรถเข็นขายโรตีในบ้านเราซึ่งในเมืองเสียมเรียบโรตีจะหากินได้ยากแต่ขนมปังปาเตหากินได้ง่ายกว่าโรตีเพราะมีรถเข็นปาเตขายตามถนนทุกหนทุกแห่งในเมืองเสียมเรียบขายดียิ่งกว่าขนมปังยี่ห้อMacdonaldของฝรั่งเสียอีกครับและที่สำคัญคือราคาถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง  ส่วนขนมปังปาเตจะน่ากินขนาดไหนดูได้ตามรูปครับ.


จากนั้นไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนนั่งรถรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างเดินทางมายังพิพิธภัณฑ์สงครามของเมืองเสียมเรียบตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 6 (เสียมเรียบ-ปอยเปต)ห่างจากตัวเมืองเสียมเรียบระยะทางประมาณ 1.5 กม.ที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์อยู่ลึกเข้าไปในซอยระยะทางประมาณ 1 กม.


สำหรับพิพิธภัณฑ์สงครามของเมืองเสียมเรียบนี้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 08.00-17.30 น.อัตราค่าเข้าชมคนละ3 USD  เราสองคนชำระค่าธรรมเนียมเข้าชมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


จากนั้นจึงเดินเท้าเข้าไปเที่ยวชมภายในพิพิธภัณฑ์สงครามซึ่งภายในได้รวบรวมเอาอาวุธยุทธโธปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในสงครามอินโดจีนเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมานำมาจัดแสดงไว้อาทิเช่น  เฮลีคอปเตอร์ของอเมริกัน,เครื่องบินMICของรัสเซีย


ปืนต่อสู้อากาศยาน,ปืนต่อสู้รถถัง,กับดักรถถัง,กับระเบิดดักคนมากมายหลากหลายชนิดกองเป็นภูเขาเลากาบางชนิดก็ถูกจัดวางเป็นหมวดหมู่มีทั้งที่ผลิตขึ้นในรัสเซีย,จีน,อเมริกาอาวุธยุทธโธปกรณ์ทุกชนิดเสื่อมสภาพการใช้งานหมดแล้ว


กับระเบิดก็ถูกถอดฉนวนออกหมดแล้วครับท่านผู้อ่านจึงไม่ต้องตกใจกลัวว่ามันจะระเบิดขึ้นมาอีกโดยมีเจ้าหน้าที่ประจำพิพิธภัณฑ์คอยดูแลความเรียบร้อยส่วนสาเหตุของการตั้งพิพิธภัณฑ์สงครามแห่งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงพิษภัยอันร้ายแรงของสงครามที่เกิดขึ้นในกัมพูชาเมื่อ30กว่าปีที่ผ่านมาและอาวุธยุทธโธปกรณ์ต่างๆเหล่านี้ได้คร่าชีวิตชาวกัมพูชาผู้บริสุทธิ์ตายไปเป็นจำนวนมาก


นอกจากนี้ยังเครื่องแบบของทหารเขมรแดงตลอดจนธงสัญญาลักษณ์ของเขมรแดงอีกด้วย



เราสองคนเดินเที่ยวชมอาวุธยุทธโธปกรณ์ต่างๆภายในพิพิธภัณฑ์สงครามแห่งนี้จนสมควรแก่เวลา


                                              จากนั้นไกด์เรด สมุทรพาเราสองคนเดินทางออกจากพิพิธภัณฑ์สงครามกลับเข้ามาในเมืองเสียมเรียบผ่านอนุสรณ์สถานทหารกัมพูชา(เขมรเสรี)ที่เสียชีวิตไประหว่างทำสงครามกับเขมรแดง

ส่วนบริเวณด้านหน้าของอนุสรณ์สถานจัดสร้างเป็นรูปประติมากรรมปูนปั้นการกวนเกษียณสมุทรระหว่างยักษ์กับเทวดา


ส่วนภายในอนุสรณ์สถานอันเป็นที่เก็บอัฐิของทหารกล้าที่เสียชีวิตในสงครามถูกออกแบบการสร้างให้คล้ายกับปราสาทบันทายศรี ทุกๆปีในวันทหารผ่านศึกจะมีชาวกัมพูชาจำนวนมากเดินทางมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเหล่าทหารหาญที่สละชีวิตเพื่อชาติ
                          จากนั้นเราสามคนเดินทางมาถึงยังวัดละไมซึ่งตั้งอยู่เลยอนุสรณ์สถานทหารหาญมาเล็กน้อย


                                        สำหรับวัดทะไมหรือแปลเป็นไทยว่าวัดใหม่แห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่แต่ชื่อใหม่ตั้งอยู่ในตัวเมืองเสียมเรียบใช้เป็นที่เก็บอัฐิชาวกัมพูชาที่เสียชีวิตในช่วงเวลาที่พอลพตผู้นำเขมรแดงเรืองอำนาจปกครองประเทศกัมพูชาในระหว่างปีพ.ศ2518-2522  รวมระยะเวลาเกือบ5 ปีที่เขมรแดงปกครองประเทศกัมพูชา


สำหรับพอลพตจอมโหดหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ


ทหารเขมรแดงได้ทำการคร่าชีวิตชาวกัมพูชาผู้บริสุทธิ์ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างจากตนไปเป็นจำนวนหลายแสนคนโดยการทารุณกรรมและทรมาณอย่างโหดเหี้ยมด้วยกรรมวิธีต่างๆส่วนทหารเขมรแดงจอมโหดมีหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ


 ซากโครงกระดูกของผู้เสียชีวิตกระจัดกระจายไปทั่วผืนแผ่นดินประเทศกัมพูชา


หลังสงครามสิ้นสุดลงทางรัฐบาลและประชาชนชาวกัมพูชาได้ทำการเก็บซากโครงกระดูกของผู้เสียชีวิตเหล่านี้นำมาบำเพ็ญกุศลตามวัดต่างๆทั่วประเทศกัมพูชาและวัดใหม่ในเมืองเสียมเรียบก็เป็นวัดอีกแห่งหนึ่งที่รวบรวมโครงกระดูกของผู้ที่เสียชีวิตเหล่านี้นำมาบำเพ็ญกุศลพร้อมทั้งใส่โกศตั้งไว้ในบริเวณวัดเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติชาวกัมพูชารุ่นใหม่ให้เห็นถึงผิดภัยของสงครามจากการไม่สามัคคีของคนในชาติเดียวกันเอง


ประเทศไทยของเราควรจะดูเป็นแบบอย่างและมีจิตสำนึกว่าการขาดความสามัคคีของคนในชาติเดียวกันเองนั้นสร้างความวิบัติอย่างใหญ่หลวงให้แก่ประเทศชาติดังนั้นควรที่จะเลิกการเล่นกีฬาสีแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเสียทีหันหน้ามาสามัคคีกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถอะน่ะครับ....สาธุๆๆๆส่วนภาพข้างล่างเป็นภาพของชาวกัมพูชาผู้บริสุทธิ์ที่ถูกเขมรแดงฆ่าตายในช่วงสงครามล้างเผ่าพันธุ์


 ในทุกๆวันจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวชมพร้อมทั้งบริจาคเงินทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้เสียชีวิตเหล่านั้นเป็นจำนวนมากซึ่งรวมถึงเราทั้งสองคนด้วยครับ
สำหรับคำว่า  “Killing Field”หรือภาษาไทยเรียกว่า “ทุ่งสังหาร”ของแท้นั้นอยู่ที่ค่ายเจืองเฮ็ก ตั้งอยู่ห่างจากกรุงพนมเปญระยะทางประมาณ16กม


เขมรแดงเรียกค่ายแห่งนี้ว่าค่าย S-26 ส่วนจำนวนหัวกะโหลกที่เจืองเฮ็กแห่งนี้ก็มีมากมายกว่าที่วัดใหม่แห่งนี้หลายสิบเท่าถูกบรรจุไว้ภายในโกศสูงหลายสิบเมตรแหงนหน้ามองจนคอตั้งบ่าเมื่อยคอเลยครับท่านผู้อ่าน
สำหรับสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศกัมพูชาระหว่างปีพ.ศ 2518-2522นั้น  วงการภาพยนต์ในฮอลีวู้ดเคยนำมาสร้างเป็นภาพยนต์เมื่อปีค.ศ. 1984 หรือเมื่อประมาณ 25 ปีที่ผ่านมาแล้วครับกำกับการแสดงโดยผู้กำกับฮอลีวู้ดชื่อ Rorand Joffe ในเนื้อเรื่องของภาพยนต์เรื่องนี้กล่าวถึงสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชาและวันที่กรุงพนมเปญแตกเมื่อ ปี ค.ศ.1975 ทหารเขมรแดงโดยการนำของพอลพตได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชาผู้บริสุทธิ์ตายไปเป็นจำนวนหลายแสนคน ภาพยนต์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์ถึง 3 รางวัลด้วยกันและหนึ่งในสามรางวัลนั้นก็คือรางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยมของฮอลีวู้ดประจำปี ค.ศ.1984


 ส่วนเนื้อเรื่องต่อไปจะเป็นอย่างไรบ้างนั้นผมเองขี้เกียจเล่าครับเพราะภาพยนต์เรื่องนี้มีความยาวประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถหาซื้อภาพยนต์เรื่องนี้มาดูได้น่ะครับที่ร้านขายDVD แถวตลาดคลองถม ในกรุงเทพฯยังพอหาซื้อได้ครับหรือหาซื้อได้ที่ร้านขายของที่ระลึกบริเวณตลาดซาจ้ะในเมืองเสียมเรียบราคาแผ่นละ2-3USD แต่ผมต้องขอบอกท่านผู้อ่านเสียก่อนน่ะครับว่าภาพยนต์เรื่องนี้มีฉากโหดๆอยู่หลายฉาก   ภาพยนต์เรื่องนี้ถ่ายทำในประเทศไทยตลอดทั้งเรื่องแถวๆ จังหวัดนครปฐม ,เพชรบุรี และจังหวัดประจวบฯ บ้านเรานี่เองแหละครับโดยเฉพาะจังหวัดเพชรบุรีที่มีลักษณะภูมิประเทศท้องไร่ท้องนาตลอดจนต้นตาลที่ขึ้นเรียงรายอยู่ในท้องนาเป็นแถวๆ คล้ายกับภูมิประเทศในประเทศกัมพูชาเลยถูกสมมุติให้เป็นประเทศกัมพูชาในสภาวะสงคราม ฉากชาวกัมพูชาอพยพออกจากกรุงพนมเปญแตกถ่ายทำกันที่บริเวณสถานีรถไฟสามเสนใน กรุงเทพใกล้บ้านผมนี่เองก็มีให้เห็นด้วยครับ สำหรับฉากวันที่กรุงพนมเปญแตกก็ถ่ายทำกันที่จังหวัดนครปฐมแถวองค์พระปฐมเจดีย์ ส่วนผู้กำกับการแสดงของภาพยนต์เรื่องนี้ก็สุดยอดจริงๆไม่รู้ว่าช่างสรรหาบรรดาตัวแสดงโนเนมคนไทยมาประกอบฉากเป็นทหารเขมรแดงจากที่ไหนเพราะแต่ละคนหน้าตาคล้ายเขมรแดงจริงๆโดยเฉพาะพวกทหารเขมรแดงเด็กๆ ดวงตาบ่งบอกแววเพชรฆาตสุดโหดไร้ความปรานีจริงๆเลยครับไม่เชื่อก็ลองหาซื้อแผ่นDVDมาลองดูเอาเองเถอะครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังผมรับประกัน สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่รู้เรื่องราวของสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชามาเลย ดูภาพยนต์เรื่องนี้จบแล้วท่านจะเข้าใจประเทศกัมพูชาในช่วงสภาวะสงครามได้ เป็นอย่างดี ก็ภาวนาขออย่าให้เหตุการณ์ในภาพยนต์เรื่องนี้เกิดขึ้นกับประเทศไทยของเราเลยครับ เลิกทะเลาะกันเองเสียทีเถอะครับ.......สาธุ
จากวัดใหม่ไกด์เรด สมุทรพาเราเดินทางผ่านโรงภาพยนต์เก่าแก่แห่งหนึ่งภายในเมืองเสียมเรียบตั้งอยู่บนถนนมุ่งหน้าสู่ปราสาทนครวัดเลยโรงแรมTaraAngkor hotelมาเล็กน้อยเท่านั้นเองครับ
โรงภาพยนต์ในภาษาเขมรเรียกว่าโรงกน แห่งนี้มีชื่อว่า “สเปี๊ยนเมี๊ยะ”แปลเป็นภาษาไทยว่า “โรงภาพยนต์สะพานนาค”โรงกนในเมืองเสียมเรียบมีลักษณะคล้ายกับโรงหนังตามต่างจังหวัดในบ้านเราเมื่อประมาณสัก30ปีที่แล้วที่แอร์ฯในโรงหนังยังติดๆดับๆอยู่เป็นประจำจนบางรอบคนดูต้องถือพัดเข้าไปในโรงด้วย


สำหรับโรงกนในเมืองเสียมเรียบจะฉายหนังเขมรเป็นหลักส่วนหนังไทยยังไม่มีใครนำมาฉายแต่คนเขมรก็รู้จักดาราไทยดีพอเท่ากับคนไทยเพราะดูจากละครทีวีเมืองไทยสำหรับค่าตั๋วเข้าชมคนละ6000เรียล(60บาท)เปิดฉายวันละ2 รอบๆเวลา14.00น.และ17.00น.ครับ


และในที่สุดไกด์เรด สมุทรก็พาเราเดินทางมาถึงยังบ้านแกะสลักหินทรายซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองเสียมเรียบเส้นทางไปถนนสาย 60เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในยามเย็นของชาวเมืองเสียมเรียบ


และที่บ้านแกะสลักหินแห่งนี้ไกด์เรด สมุทรได้แนะนำให้เรารู้จักกับ คุณ ดารา เจ้าของบ้านแกะสลักหินแห่งนี้


จากนั้นคุณดาราก็พาคณะของเราเที่ยวชมกรรมวิธีในการแกะสลักหินซึ่งภายในบ้านของคุณดาราถูกดัดแปลงให้เป็นโรงงานแกะสลักหินขนาดย่อมๆโดยมีลูกน้องชาวเขมรประมาณ5-6 คนกำลังนั่งแกะสลักหินทรายอยู่อย่างขะมักขะเม้นด้วยความปราณีตบรรจง


สำหรับงานหินทรายแกะสลักนี้ส่วนใหญ่จะทำการแกะสลักเป็นรูปเทพเจ้าองค์ต่างในศาสนาฮินดูอาทิเช่นพระนารายณ์,พระอิศวร,พระศิวะ,นางอัปสราและแท่งศิวลึงค์ตั้งอยู่บนฐานโยนีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในศาสนาฮินดู


นอกจากนั้นแล้วก็ยังทำการแกะสลักเป็นรูปของทับหลังและหน้าบันตามปราสาทต่างๆในเมืองเสียมเรียบ ตลอดจนรูปหินทรายแกะสลักเป็นรูปต้นบัวมีเต่า,กุ้ง,หอย,ปู,ปลา,ว่ายวนเวียนอยู่ใต้ผืนน้ำอีกด้วย ภาพแกะสลักแต่ละชิ้นจะต้องใช้เวลาแกะสลักหินทรายเป็นเดือนๆกว่าจะได้ผลงานที่ดีมีคุณภาพสักชิ้นหนึ่ง    ผลงานภาพหินทรายแกะสลักแต่ละชิ้นในบ้านของคุณ ดารานี้ส่วนใหญ่จะถูกนักท่องเที่ยวต่างชาติจองไว้ทั้งหมดแล้วครับ

    
ผมได้สอบถามราคาภาพหินทรายแกะสลักจากคุณดาราซึ่งแต่ละชิ้นนั้นมีมูลค่าหลักหมื่นอัพขึ้นไปทั้งนั้นจนถึงหลักแสนบาทเรียกว่าแพงเอาการอยู่เหมือนกันแต่เมื่อผมได้พิจารณาถึงฝีมือในการแกะสลักหินทรายของลูกน้องคุณทัว ดาราแล้วต้องยอมรับล่ะครับว่ามีความปราณีตละเอียดออน่ไม่น้อยหน้าใครในเมืองเสียมเรียบและด้วยสาเหตุนี้นี่เองราคาถึงแพงเป็นเงาตามตัว และด้วยฝีมืออันละเอียดออน่ตลอดจนความปราณีตในการแกะสลักหินทรายของบรรดาช่างแกะสลักชาวเขมรเหล่านี้ผมมีความเชื่อว่าฝีมือช่างแกะสลักหินทรายชาวเขมรเหล่านี้น่าจะสามารถสร้างปราสาทขอมได้อีกหลายๆปราสาทเลยครับ


พวกเราเดินเที่ยวชมภาพหินทรายแกะสลักพร้อมกับทึ่งในความสามารถของช่างแกะสลักหินชาวเขมรจนสมควรแก่เวลา


จากนั้นไกด์เรด สมุทรพาเราสองคนเดินทางมายังศูนย์ฝึกอาชีพและงานหัตถกรรม (Artissansd Angkor)


ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเสียมเรียบก่อตั้งขึ้นโดยรัฐบาลฝรั่งเศสสำหรับจุดประสงค์หลักเพื่อเป็นโรงเรียนฝึกอาชีพงานหัตถกรรมให้กับชาวกัมพูชาที่ยากไร้และทุกพลภาพจากสภาวะสงครามภายในประเทศครั้งที่ผ่านมา


ภายในศูนย์ฝึกอาชีพและงานหัตถกรรมถูกจัดแบ่งไว้เป็นสัดส่วนโดยมีโรงเรียนสอนแกะสลัก,สอนวาดภาพสีน้ำมัน,สอนทอผ้าฯลฯและร้านจำหน่ายของฝากของที่ระลึกจากฝีมือของนักเรียนชาวเขมรส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ทำด้วยมือทั้งสิ้นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมเดินทางเข้ามาเที่ยวชมและแลกซื้อสินค้าเป็นประจำทุกวัน


ท่านผู้อ่านดูรูปแล้วสนใจลองคลิ๊กเข้าไปเยี่ยมชมศูนย์ฯแห่งนี้ได้ที่ www.artisansdangkor.com


เวลาจวนเจียนจะใกล้ค่ำอยู่แล้วจากนั้นไกด์เรด สมุทรก็พาเราสองคนเดินทางเที่ยวกันยังถนนหมายเลข60


สำหรับถนนหมายเลข60 แห่งนี้เป็นถนนที่พักผ่อนหย่อนใจในยามเย็นของชาวเมืองเสียมเรียบเราจะเห็นชาวเมืองเสียบเรียบนิยมพาครอบครัวเดินทางมานั่งรับประทานอาหารกันที่บริเวณริมถนนสายนี้ เพราะสองข้างทางของถนนสายนี้เป็นที่โล่งกว้างไกลมองเห็นท้องไร่ท้องนาสุดลูกหูลูกตาและริมถนนสายนี้ก็เรียงรายไปด้วยร้านค้า,ร้านอาหารที่เปิดร้านบริการขายแบบเฉพาะกิจพอตอนดึกลูกค้าเริ่มซาทุกร้านก็เก็บข้าวของกลับบ้านกันหมด


คุณเม้งคนขับรถพาพวกเราขับผ่านวงเวียนอัปสราจากนั้นก็พาเราเดินทางเข้าสู่ถนนหมายเลข60 ซึ่งกำลังเริ่มคับคั่งไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรนำสินค้ามาวางขายเรียงรายตลอดแนวถนนหมายเลข 60


ซึ่งรวมทั้งชิงช้าสวรรค์,ม้าหมุนจัดเป็นสวนสนุกให้เด็กๆชาวเขมรได้มาเล่นสนุกกันอีกด้วย  

  
           
                    พวกเรานั่งรถเที่ยวชมบรรยากาศของถนนหมายเลข 60บรรยากาศคล้ายๆกับงานวัดบ้านเราอย่างไงอย่างงั้นเลยครับจนมาสะดุดอยู่ที่ร้านขายวัวย่างแห่งหนึ่งที่เปิดร้านขายอยู่ริมถนนสำหรับวัวย่างภาษากัมพูชาเขาเรียกว่า “โกดอท” แต่ที่แปลกแตกต่างจากบ้านเราก็คือที่กัมพูชาทางร้านเขาจะนำวัวทั้งตัวมาย่างให้เห็นกันแบบจะๆดั่งที่เห็นในรูปนี้ล่ะครับท่านผู้อ่านดูให้ดีน่ะครับภาพนี้คือวัวน่ะครับไม่ใช่สุนัขน่ะครับ


 แต่ปัจจุบันทางการกัมพูชาได้ออกกฏหมายสั่งห้ามนำวัวมาย่างขายริมทางอย่างเอิกเกริกให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นอีกต่อไปแล้วครับสาเหตุก็เพราะว่า ตอนที่วัวยังมีชีวิตอยู่ก็เอาเขามาใช้แรงงานทำไร่ทำนาอาบเหงื่อต่างน้ำแต่พอวัวเริ่มแก่ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำไร่ทำนาก็เอาเขามาย่างประจานอยู่ริมถนน“มันรู้สึกจะโหดเกินไป” ถ้าจะย่างก็ให้ย่างที่บ้านจากนั้นจึงนำมาวางขายริมถนนได้ไม่ผิดกฏหมายครับ เพราะฉะนั้นภาพที่นำมาให้ท่านผู้อ่านได้ชมอยู่นี้จึงกลายเป็นภาพประวัติศาตร์ไปแล้วครับท่านสำหรับร้านขายวัวย่างมีให้บริการหลายร้าน



นอกจากนี้ยังมีร้านขายข้าวโพดปิ้ง,ร้านขายผลไม้ตลอดจนร้านขายเสื้อผ้าฯลฯเรียงรายอยู่บนถนนหมายเลข60จนสุดถนนสายนี้ ท่านผู้อ่านที่เดินทางมาเที่ยวเมืองเสียมเรียบแล้วควรมาชมบรรยาศยามเย็นบนถนนหมายเลข60ท่านจะได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกัมพูชาในช่วงเวลาพักผ่อนนิยมพาครอบครัวเดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจหาอาหารรับประทานกันในยามเย็นบนถนนสายนี้ครับระยะทางก็ไม่ไกลจากตัวเมืองเสียมเรียบเท่าไหร่เพียง4-5กม.เท่านั้นเองครับท่าน.
จากนั้นเราเดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองเสียมเรียบเพื่อหาอาหารค่ำรับประทานกันที่ร้านเม้ง บาบีคิวและบุฟเฟ่ต์   (Meng BBQ&Buffet)เป็นร้านของคุณเม้งโชเฟอร์ของเรานั่นเองล่ะครับ


คุณเม้งชักชวนให้พวกเรามาลองชิมบุฟเฟ่ต์หมู-เนื้อกะทะซึ่งมีลักษณะคล้ายกับร้านหมูกะทะในบ้านเราซึ่งมีอาหารให้เลือกรับประทานมากมายหลากหลายชนิดรวมถึงอาหารเวียดนามอีกด้วยครับแต่อย่าได้นำไปเปรียบเทียบกับร้านหมูกะทะในเมืองไทยล่ะครับฝีมือห่างกันหลายขุมโดยเฉพาะน้ำจิ้มหมูกะทะรสแซ่บบ้านเรากินขาด


                       สำหรับร้านเม้ง บาบีคิวและบุฟเฟ่ต์ ตั้งอยู่ในซอยวัดโบในเมืองเสียมเรียบเปิดบริการตั้งแต่เวลา17.00-23.00น.ในราคาค่าบริการคนละ5 USD กินกันแบบไม่อั้นกินกันจนลูกค้าท้องแตกตายคุณเม้งบอกไม่คิดตังค์


ถ้าท่านผู้อ่านมาไม่ถูกโทรศัพท์มาถามเส้นทางได้เลยที่โทรศัพท์063-698-2266
ออปเรเตอร์พูดไทยได้ครับหรือจะนั่งรถตุ๊กๆมาก็ได้ราคาไม่แพงแล้วแต่ระยะทางใกล้ไกล 2-5 USDเท่านั้นเองครับบอกว่าจะไปร้านเม้ง  บาบีคิวและบุฟเฟ่ต์โชเฟอร์รถตุ๊กๆรู้จักหมดทุกคนครับ


หลังจากที่จัดการกับหมูกะทะร้านเม้ง บาบีคิวและบุฟเฟ่ต์ จนอิ่มหมี่พีมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณเม้งโชเฟอร์เจ้าของร้านก็พาเรามาส่งยังโรงแรมที่พักเพื่อพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงไว้ท่องเที่ยวต่อไปในวันรุ่งขึ้น
  พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เราจะท่องเที่ยวในเมืองเสียบเรียบสำหรับวันนี้ขอกล่าวคำว่า “ราตรีซัวซเดย”ครับ.
วันที่หกของการเดินทาง
                                              วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะท่องเที่ยวอยู่ในเมืองเสียมเรียบประเทศกัมพูชาเช้าวันนี้ไกด์เรด สมุทรพาเราเดินทางไปท่องเที่ยวไปยังตลาดซาเล่ยซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายหลักหมายเลข6(เสียมเรียบ-พนมเปญ)ห่างจากใจกลางเมืองเสียมเรียบไปทางทิศตะวันออกระยะทางประมาณ500 เมตร


ตลาดซาเล่ยเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าตลาดซาจ้ะมีสินค้าให้เลือกซื้อมากมายเป็นทั้งตลาดสดขายพืชผักผลไม้รวมทั้งกุ้ง,หอย,ปู,ปลา


และตลาดแห้งขายพวกเสื้อผ้าเครื่องใช้ไม้สอยในครัวเรือนโทรศัพท์มือถือรวมทั้งทองนาคเงินก็มาขายกันภายในตลาดแห่งนี้บรรยากาศของตลาดซาเล่ยในช่วงเช้าจะแลดูคึกคักเป็นพิเศษและคับคั่งไปด้วยพ่อค้าแม่ขายหอบสินค้าจำพวกพืชผักผลไม้มาวางขายกันอย่างเนืองแน่นไกด์กองพาเราเดินเที่ยวชมสินค้าภายในตลาดเครื่องอุปโภคและบริโภคส่วนใหญ่อาทิเช่นน้ำปลา,ผงชูรส,ผงซักฟอก,สบู่,ยาสระผม,ยาสีฟัน,มาม่า,ไวไวและซ๊อสพริกยี่ห้อต่างๆจะนำเข้ามาจากฝั่งไทยเพราะรสชาติเป็นที่นิยมชมชอบของชาวกัมพูชามากกว่าสินค้าที่นำเข้ามาจากจีนและเวียดนาม


สำหรับร้านขายทองในตลาดซาเล่ย์ก็เปิดร้านขายทองกันอย่างเอริกเกริกติดๆกันหลายร้านใจกลางตลาดไม่ต้องมีห้องติดแอร์ฯปิดกระจกมิดชิดไม่ต้องมีตำรวจมานั่งเฝ้าหรือโทรทัศน์วงจรปิดกลัวโจรมาปล้นเหมือนในบ้านเราขายกันอย่างอิสระเสรี


ส่วนราคาทองจะบาทละเท่าไรนั้นผมไม่ได้ถามเพราะถามไปก็ไม่มีตังค์ซื้ออยู่ดีครับเพราะตั้งแต่เกิดมาวาสนาไม่ถึงที่จะใส่ทองแท้กับเขาเลยครับสมสุติว่าผมใส่ทองจริงเขาก็หาว่าใส่ทองปลอมแม้แต่ทองเก๊ก็ยังไม่มีปํญญาที่จะหามาใส่เคยครับ


ภายในตลาดซาเล่ยมีร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีเงินมากมายหลากหลายสกุลมัดใส่ไว้ในตู้กระจกเย้ยสายตาชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาอย่างไม่กลัวโจรห้าร้อยที่ไหนจะมาปล้น


ผมสอบถามไกด์เรด สมุทรว่า “วางเงินทองไว้อุจาดตาเช่นนี้ไม่กลัวโจรจะมาปล้นบ้างหรือ”ผมได้รับคำตอบกลับมาว่า “พ่อค้าแม่ค้าในตลาดเขาไม่กลัวโจรจะมาปล้นหรอกถึงจะมาปล้นก็ไปไหนไม่รอดโดนพ่อค้าแม่ขายแถวนี้รุมสะกรัมกระทืบตายเสียก่อนจะถึงมือตำรวจ โจรเมืองไทยจะไปเสี่ยงโชคประกอบธุรกิจในเมืองเขมรบ้างก็ได้น่ะครับถ้าไม่กลัวโดนเขมรกระทืบตายเสียก่อน
ส่วนโทรศัพท์มือถือก็มีมากมายหลากหลายรุ่นส่วนใหญ่นำเข้ามาจากจีนมีทั้งเมนูภาษาอังกฤษ,เขมรและไทย ในราคาที่ถูกกว่าบ้านเราเล็กน้อย


เราเดินเที่ยวชมสินค้าภายในตลาดซาเล่ย์จนสมควรแก่เวลาจากนั้นจึงมานั่งรับประทานอาหารเช้ากันที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวภายในตลาดซาเล่ย์สำหรับก๋วยเตี๋ยวภาษาเขมรเรียกว่าก๋วยเตี๋ยวเหมือนกับไทยส่วนจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อหรือก๋วยเตี๋ยวหมูนั้นก็ให้เติมคำว่าเนื้อวัวหรือเนื้อหมูเข้าไปเช่นก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวก็เรียกว่า “ก๋วยเตี๋ยวสัตว์โก”ส่วนก๋วยเตี๋ยวหมูนั้นก็เรียกว่า “ก๋วยเตี๋ยวสัตว์จรู๊ป”ราคาชามละ3000เรียล(30บาท)ถ้าอยากจะกินข้าวต้มปลาก็พูดคำว่า “บอบอไต”คำว่าบอบอแปลว่าข้าวต้มส่วนคำว่าไตแปลว่าปลาราคาชามละ3000เรียลเหมือนกันเห็นไหมครับว่าราคาอาหารที่เขมรนั้นไม่แพงเลยถ้ารู้จักหากินเองแต่มีข้อแม้ว่าจะต้องจำศัพท์อาหารเขมรให้ได้เสียก่อนน่ะครับถึงจะสั่งอาหารเขาได้


ส่วนราคาอาหารจะอยู่ในระหว่าง30-50บาทจ่ายเป็นเงินเรียลของเขมรจะดีที่สุดครับคิดง่ายๆ100 เรียลเท่ากับ1บาทไทยครับส่วนเรื่องรสชาติก๋วยเตี๋ยวของเขมรนั้นก็นับว่าใช้ได้ครับความอร่อยจะอยู่ที่น้ำซุปครับตบท้ายด้วยกาแฟร้อนใส่นมกันคนละหนึ่งแก้วภาษาเขมรเรียกกาแฟร้อนว่า”กาแฟเดาะโกกะเดา “ราคาแก้วละ1,000เรียล(10บาท)ส่วนกาแฟเย็นก็เรียกว่า “กาแฟเดาะโกตะกอ”ราคาแก้วละ2000เรียล(20บาท)แกล้มด้วยปาท่องโก๋เขมรเรียกทับศัพท์ภาษาจีนว่า “จาไก๋ว”

หลังจากจัดการกับอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นไกด์เรด สมุทรพาเราเดินทางเข้ามาเที่ยวชมตึกรามบ้านช่องภายในตัวเมืองเสียมเรียบโรงแรมที่พักร้านอาหารตลอดจนห้างสรรพสินค้าทันสมัยผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด




เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังเมืองเสียมเรียบอาทิเช่นห้างสรรพสินค้า Lucky  mallจำหน่ายสินค้านำเข้ามากมายหลากหลายชนิดภายในห้างติดแอร์เย็นฉ่ำมีร้านอาหารสุกี้บุปเฟ่ต์สายพานเหมือนกับห้างสรรพสินค้าในบ้านเราร้านขายไอสครีม Swensens ร้านMacdonald ร้านขายไก่ทอดKFC ของผู้พันSander ก็มาเปิดให้บริการบนห้างสรรพสินค้า Lucky  mallแห่งนี้ด้วยเรียกว่าท่านผู้อ่านเดินทางมาท่องเที่ยวแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะอดตายในเมืองเสียมเรียบมีอาหารให้เลือกรับประทานมามายหลากหลายชนิด


นอกจากจะมีห้างสรรพสินค้าผุดขึ้นมาหลายแห่งแล้วยังมีซุบเปอร์มาเก็ตชั้นนำเกิดขึ้นมาหลายแห่งอีกด้วยอาทิเช่นAngkor Supermarket ซุปเปอร์มาเก็ตชั้นนำบนถนนสายหลักในตัวเมืองเสียมเรียบตั้งอยู่ใกล้ๆกับห้างสรรพสินค้า Lucky  mallภายในมีสินค้ามากมายหลากหลายชนิดทั้งอาหารสดและอาหารแห้งส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้ามาจากต่างประเทศคุณภาพดี,สด,สะอาดถูกหลักอนามัยเปลี่ยนสินค้าใหม่เกือบทุกวันอีกทั้งราคายังไม่แพงอีกด้วยจึงเป็นที่นิยมชมชอบของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมเดินทางมาช้อบปิ้งเลือกซื้อสินค้ากันอย่างแน่นขนัดเป็นประจำทุกวัน


ส่วนตึกรามบ้านช่องสไตล์โคโลเนียลสมัยเขมรตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสก็ได้รับการอนุรักษ์และบูรณะซ่อมแซมใหม่ทาสีสันสดใสปัจจุบันกลายมาเป็นร้านอาหาร,ร้านกาแฟ,บริษัททัวร์ฯลฯ   

      
เมืองเสียมเรียบในวันนี้นับวันความเจริญจะเข้ามามากจนหยุดรั้งไว้ไม่อยู่แล้วครับ  



 ถนนหนทางกลางเมืองที่เคยเป็นหลุมเป็นบ่อปัจจุบันกลายมาเป็นถนนราดยางอย่างดีมองดูสะอาดตา


ตึกรามบ้านช่องสวยงามผุดขึ้นมาอย่างหนาแน่นตลอดจนสองฟากฝั่งริมแม่น้ำเสียมเรียบปัจจุบันถูกจัดภูมิทัศน์ใหม่ให้ดูงดงามสะอาดตากว่าแต่ก่อนมาก


และที่นี่ก็คือเมืองเสียมเรียบมุมมองใหม่ในปีค.ศ 2012เพื่อต้อนรับประชาคมอาเชี่ยนที่จะเกิดขึ้นในปีค.ศ2015 อนาคตอันใกล้นี้


ท่านผู้อ่านลองชมเมืองเสียมเรียบที่ถ่ายจากมุมสูงดูซิครับยังไม่มีทางด่วน,รถไฟฟ้าพาดไปพาดมาให้ดูรกสายตาเหมือนในกรุงเทพฯตลอดจนตึกสูงระฟ้าก็ไม่มีให้เห็นในเมืองเสียมเรียบเพราะทางการกัมพูชาออกกฎหมายห้ามสร้างตึกสูงเกิด4ชั้นในเมืองเสียมเรียบเพราะจะไปสูงเกิดกว่ายอดของมหาปราสาทนครวัดที่เคารพสูงสุดของชาวกัมพูชาดังนั้นเราจึงไม่เห็นตึกสูงเกิน4ชั้นในเมืองเสียมเรียบเป็นไอเดียที่ดีมากๆเลยน่ะครับเพราะถ้าเกิดไฟไหม้แผ่นดินไหวขึ้นมาแล้วจะได้ไม่เกิดโศกนาฎกรรมตายหมู่


ไกด์เรด สมุทรพาเราเดินทางมาถึงยังตลาดซาจ้ะซึ่งมีขนาดเล็กกว่าตลาดซาเล่ยเป็นตลาดเก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำใจกลางเมืองเสียมเรียบ นักท่องเที่ยวชาวไทยจะรู้จักตลาดแห่งนี้เป็นอย่างดีเพราะบริษัททัวร์ไทยมักจะนิยมพาลูกทัวร์คนไทยทุกคณะมาช้อบปิ้งกันที่ตลาดซาจ้ะแห่งนี้เป็นประจำจนพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดแห่งนี้บางร้านสามารถพูดไทยได้คล่องแคล่วและยอมรับเงินบาทไทยอีกด้วยทางด้านซ้ายมือของตลาดจะเป็นตลาดสดจำหน่ายข้าวสารอาหารแห้งปลาร้า,ปลากรอบ,ปลาแห้งพืชผักผลไม้,ปลาสด,เนื้อสัตว์ตลอดจนเครื่องอุปโภคบริโภคนานาชนิดส่วนใหญ่นำเข้ามาจากเมืองไทย


ส่วนทางด้านขวามือจะจำหน่ายสินค้าประเภทของฝากของที่ระลึกเครื่องทองนาคเงิน,เสื้อผ้า,ภาพเขียนสีน้ำมัน,หนังสือฯลฯ

และเป็นการบังเอิญในวันที่เราเดินทางมาเที่ยวตลาดซาจ้ะตรงกับวันสงกรานต์พอดีชาวเขมรเรียกวันสงกรานต์ว่า “โจวชะนำทำไม”ในประเทศกัมพูชาจะไม่มีการเล่นน้ำสงกรานต์เหมือนกับในบ้านเราแต่ละบ้านและร้านค้าต่างๆเขาจะจัดให้มีการตั้งโต๊ะหมู่บูชาเทวดาที่บริเวณหน้าบ้าน


ซึ่งบนโต๊ะจะจัดเครื่องเซ่นไหว้เป็นผลไม้หลากหลายชนิดนำมาวางไว้บูชาเทวดาเหมือนเทศกาลตรุษจีนในบ้านเราแต่ละบ้านจะมีโคมไฟทำด้วยกระดาษแก้วสีแดงห้อยอยู่เหนือโต๊ะหมู่บูชาเทวดาจากนั้นก็จะรอคอยเวลาเที่ยงคืนที่เทวดาจะลงจากสรงสวรรค์มารับประทานผลไม้ที่เจ้าบ้านได้จัดเตรียมไว้ให้เมื่อเทวดาอิ่มแล้วก็จะอวยชัยให้พรเจ้าของบ้านให้เจิยก้าวหน้าร่ำรวยยิ่งๆขึ้นไปการไหว้เทวดาเป็นประเพณีของชาวกัมพูชาที่จะจัดขึ้นในวันสงกรานต์เป็นประจำทุกปีใครมีน้อยก็ไหว้น้อยใครมีมากก็ไหว้มากแล้วแต่ฐานะของแต่ละคนเป็นประเพณีที่ชาวเขมรจัดสืบทอดกันมายาวนาน


จากนั้นไกด์เรด สมุทรก็พาเราเดินเที่ยวชมและเลือกซื้อของฝากและของที่ระลึกจนสมควรแก่เวลาได้เวลาอาหารกลางวันไกด์กองอาสาพาพวกเราไปรับประทานอาหารกลางวันสไตล์เขมรกันที่ร้านอาหารเขมรแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในทุ่งนาริมถนนทางไปสนามบินเสียมเรียบ

บรรยากาศภายในร้านถูกจัดเป็นซุ้มๆมุงด้วยหญ้าคาเรียงเป็นแถวยาว


ซึ่งแต่ละซุ้มจะมีเสื่อปูและมีเปลแขวนไว้ให้บริการลูกค้าได้นอนหลับพักผ่อนหลังอิ่มหมีพีมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


สำหรับเมนูอาหารกลางวันของเราในมื้อนี้ได้แก่ไก่บ้านย่างภาษาเขมรเรียกว่า “มวนดอด”เป็นไก่บ้านนำมาย่างจนสุกจากนั้นนำมาใส่จานเสริฟให้ลูกค้าทั้งตัวไม่มีการสับเหมือนไก่ย่างบ้านเราให้ลูกค้าได้ฉีกกินเอาเองท่านผู้อ่านนึกภาพไม่ออกดูได้จากรูปครับ


และด้วยความเป็นไก่บ้านไม่ใช่ไก่ฟารม์เนื้อไก่จึงเหนียวแต่นุ่มแถมใช้มือฉีกกินแบบคนเขมรแทนการสับรสชาติจึงอร่อยอย่าบอกใครนอกจากไก่ย่างแล้วยังมีขนมเบื้องญวนเขมรเรียกว่า “บันแซว”เป็นอาหารเวียดนาม


 กบผัดใบกระเพราภาษาเขมรเรียกว่า “ก๊อบแก๊บชากะเดา” ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียมพริกไทย,หอยแครงผัดใบกระเพราและตบท้ายด้วยแป๊ะซะปลาช่อนเรารับประทานอาหารกลางวันด้วยความเอร็ดอร่อย


จากนั้นจึงนอนหลับพักผ่อนบนเปลกันคนละตื่นตามสุภาษิตโบราณที่ว่า “กินแล้วนอนพักผ่อนกายา กินแล้วนั่งเมื่อยหลังตายห่า”และด้วยสุภาษิตนี้เองทีมงานของเราจึงเป็นโรคกรดไหลย้อนกันเป็นแถวๆ


พวกเราทุกคนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อเวลาบ่ายคล้อยล้างหน้าล้างตาไปท่องเที่ยวกันต่อดีกว่า                     ไกด์เรด สมุทรพาเราเดินทางมาตามถนนราดยางจนมาถึงสถานที่จอดบอลลูนให้บริการพานักท่องเที่ยวขึ้นไปชมมหาปราสาทนครวัดบนมุมสูงพวกเราจัดแจงซื้อบัตรคนละ5 US


จากนั้นก็เข้าไปอยู่ในตะกร้าบอลลูนสักครู่หนึ่งพนักงานคอนโทรลบอลลูนก็ค่อยๆปล่อยเชือกให้บอลลูนลอยตัวขึ้นอยู่เหนือท้องฟ้าของเมืองเสียมเรียบความสูงประมาณ150 เมตร


พวกเรามองเห็นมหาปราสาทนครวัดตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องล่าง


พร้อมทั้งเรือกสวนไร่อันเขียวขจีโดยมีต้นตาลยืนต้นเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องล่างช่างเป็นภาพที่สวยงามเกินคำบรรยายเสียนี่กระไร


 บอลลูนพาเราลอยตัวอยู่เหนือท้องฟ้าเมืองเสียมเรียบมองเห็นเมืองเสียมเรียบได้อย่างชัดเจน


เจ้าบอลลูนใช้เวลาลอยอยู่เหนือท้องฟ้าประมาณ15นาทีก็กลับมาสงบนิ่งอยู่บนพื้นดินเหมือนดั่งเดิมเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้มีอากาศขึ้นบอลลูนชมมหาปราสาทนครวัดจากมุมสูงช่างเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจมากครับทั้งๆที่พวกเราเป็นโรคกลัวความสูง


ดวงอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าลงไปแล้ว


จากนั้นไกด์เรด สมุทรก็พาเราเดินทางกลับเข้ามาในเมืองเสียมเรียบเพื่อชมแสงสีชีวิตยามราตรีที่Pub Streetในเมืองเสียมเรียบ


บรรดาร้านรวงต่างๆเปิดไฟแสงสีชีวิตยามราตรีของเมืองเสียมเรียบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว


ร้านอาหารบาร์เบียร์คับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเดินเที่ยวนั่งกินนั่งดื่มบรรยากาศคล้ายถนนข้าวสารในบ้านเรา


เสียงของBob Marleyศิลปินเร็กเก้ชาวจาไมก้าดังลอดออกมาจากบาร์เบียร์แห่งหนึ่งริมแม่น้ำเสียมเรียบแตกต่างจากร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสบางร้านที่เปิดเพลงแจ๊สเบาๆนักท่องเที่ยวระดับไฮคลาสนั่งรับประทานอาหารค่ำภายใต้แสงเทียนช่างเป็นบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกจริงๆ


นอกจากนี้ยังมีบริการนวดเท้าและนวดด้วยการให้ปลาตอดอีกด้วยครับ


ส่วนไอหง(I Hong)ที่เราเคยมากินอาหารเช้าพอตกกลางคืนก็แปรเปลี่ยนไปเป็นร้านขายเสื้อผ้าแทน


ไกด์เรดสมุทรพาเราลงจากรถเดินลัดเลาะแม่น้ำเสียมเรียบชมแสงสียามราตรีไปเรื่อยๆจนในที่สุดเดินข้ามสะพานแม่น้ำเสียมเรียบมาที่Art center Night Market


ตลาดที่พึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามตลาดซาจ้ะโดยมีแม่น้ำเสียมเรียบกั้นกลางอยู่


ภายใน Art center Night Marketจำหน่ายสินค้าและของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยวคล้ายกับตลาดซาจ้ะแต่ตลาด Art center Night Marketจะแลดูกว้างขวางสะอาดและเป็นระเบียบกว่าตลาดซาจ้ะ


ตลอดจนมีสินค้าของที่ระลึกให้เลือกซื้อมากมายหลากหลายชนิดอาทิเช่นเสื้อผ้า,ภาพเขียนสีน้ำมัน,รูปแกะสลักหินทรายฯลฯ


ให้นักท่องเที่ยวได้เดินเที่ยวชมและช้อบปิ้งกันจนสตังค์หมดกระเป๋าโดยไม่รู้ตัวนอกจากนี้ภายใน Art center Night Marketยังมีร้านอาหารและเครื่องดื่มเล็กๆแต่น่ารักเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย

เราเดินเที่ยวชมภายใน Art center Night Marketจนท้องเริ่มหิว
จากนั้นไกด์เรด สมุทรก็อาสาพาเพวกรามารับประทานอาหารค่ำตามคำเชิญที่บ้านของคุณพูนศักดิ์  อุดมเลิศลักษณ์มีชื่อเรียกกันเล่นๆในวงการทัวร์ว่าเฮียสี่ นักธุรกิจเจ้าของบริษัท Indochina exploers เป็นบริษัททัวร์ที่มาประกอบธุรกิจบุกเบิกการท่องเที่ยวในเมืองเสียมเรียบเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาหลังจากที่ทักทายพร้อมไต่ถามสาระทุกข์สุขดิบกับคุณพูนศักดิ์  อุดมเลิศลักษณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นพวกเราก็หันมาสนใจกับอาหารบนโต๊ะซึ่งในมื้อนี้คุณพูนศักดิ์ ได้ให้แม่ครัวชาวเขมรจัดอาหารเขมรแบบจัดเต็มมาให้เรารับประทานอย่างเต็มที่ซึ่งมีเมนูอาหารต่างๆดังต่อไปนี้  


 ผัดมะเขือเผาภาษาเขมรเรียกว่า “ตร๊อพซจรู๊ปตำ”สะเดาน้ำปลาหวานภาษาเขมรเรียกว่า”ไตขอมโปงตึกจรวยออมเปอตุม”แกงออมปลาภาษาเขมรเรียกว่า “ซอมลอเกาะโก”และปลาบู่นึ่งวุ้นเส้นภาษาเขมรเรียกว่า “ไตดำไรจอมหอยหมี่ซั้ว”ฯลฯที่เหลืออธิบายไม่หมดดูตามรูปก็แล้วกันน่ะครับหน้าตาคล้ายกับอาหารไทยเลย  เรารับประทานอาหารเขมรในมื้อค่ำนี้ด้วยความเอร็ดอร่อยพร้อมพูดคุยสนทนากับคุณพูนศักดิ์  อุดมเลิศลักษณ์จนสมควรแก่แล้ว เราทุกคนจึงขอตัวอำลาคุณพูนศักดิ์  ไปหลับนอนพักผ่อนกายาพรุ่งนี้เราทั้งหมดจะอำลาเมืองเสียบเรียบกลับบ้านกันแล้วครับ.
แต่ก่อนที่จะเดินทางกลับโรงแรมที่พักเพื่อไปพักผ่อนคุณเม้งโชเฟอร์ของเราชักชวนพวกเราเดินทางไปชมการแสดงโชว์ของสาวประเภทสองรอบปฐมฤกษ์ที่Rosana Broadwayตั้งอยู่ในเมืองเสียมเรียบบนถนนหมายเลข6 ทางไปกรุงพนมเปญเลยตลาดซาเล่ย์ไปเล็กน้อยเท่านั้นเองครับ


สำหรับราคาค่าบัตรเข้าชมการแสดงโชว์ของสาวประเภทสองนักท่องเที่ยวทั่วไปคนละ12 USDส่วนการแสดงมีโชว์วันละ2 รอบคือรอบเวลา19.15น.และ21.00น.ครับ


การแสดงโชว์ของสาวประเภทสองเป็นของแปลกใหม่ในเมืองเสียมเรียบบรรดาสาวประเภทสองชาวกัมพูชาได้รับการแนะนำและฝึกฝนมาจากสาวประเภทสองของไทยที่เปิดการแสดงอยู่ที่พัทยามาช่วยสอนท่าร่ายรำต่างๆให้การแสดงบางฉากบางตอนก็ลอกเลียนแบบมาจากอาคาซ่าร์ที่พัทยาไม่มีผิดเพี้ยนโดยการแสดงจะเริ่มจากการร่ายรำของนางรำในราชสำนักขอมสมัยพระเจ้าสุริยะวรมัน



เรื่อยมาจนถึงการแสดงร่ายรำประจำชาติต่างๆเช่นเวียดนาม,เกาหลี,จีน,ญี่ปุ่น,อียิปต์โบราณ



และการแสดงของนักร้องดังๆในยุโรปเช่นการแสดงของมาดอนน่าและเลดี้ กาก้าฯลฯฉากทุกฉากสีสันสดใสสวยงามตระการตา



ท่านผู้อ่านที่มีโอกาศเดินทางมาท่องเที่ยวยังเมืองเสียมเรียบแล้วถ้ามีเวลาว่างๆในยามค่ำคืนไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวไหนดีก็ลองแวะมาชมการแสดงของสาวประเภทสองที่Rosana Broadwayก็ได้น่ะครับรับรองว่าไม่ผิดหวังแต่อย่าเอาการแสดงของสาวประเภทสองของกัมพูชาไปเปรียบเทียบกับสาวประเภทสองของเราที่พัทยาเข้าล่ะครับ เพราะฝีมือห่างกันคนละชั้นแต่ก็พอดูได้ครับไม่ขี้เหร่แต่อย่างใดแต่ละฉากสีสันสดใสงดงามตระการตาดีครับ  ไม่เชื่อก็ลองดูภาพที่พวกเราถ่ายฝากท่านผู้อ่านนี้แหล่ะครับ


สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมลองคลิ๊กเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.broadway.com หรือfacebook.com/RosanaBroadway ได้เลยครับ.
จากนั้นคุณเม้งก็พาพวกเราเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พักเพื่อพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงไว้เพื่อเดินทางกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้น.
วันที่เจ็ดของการเดินทาง
                                      เช้าวันสุดท้ายในเมืองเสียมเรียบพวกเราจัดการเก็บสัมภาระเป็นที่เรียบร้อยจากนั้นจึงมารับประทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองเสียมเรียบสำหรับอาหารเช้าในวันนี้เป็นอาหารเช้าแบบเขมรสำหรับเมนูอาหารเช้าดูได้ตามรูปครับ


 ปลาแดดเดียวภาษาเขมรเรียกว่าไตเงียด,รากบัวผัดน้ำมันหอยภาษาเขมรเรียกว่ากรอเอาซูป,ผัดผักบุ้งภาษาเขมรเรียกว่าชาตะกูลเพ็งขจอตบท้ายด้วยกาแฟกะเดา
เรารับประทานอาหารเช้าด้วยความเอร็ดอร่อยจากนั้นคุณเม้งคนขับรถพร้อมทั้งไกด์เรด สมุทรก็พาเราเดินทางออกจากเมืองเสียมเรียบไปตามถนนหมายเลข6(เสียมเรียบ-ศรีโสภณ)มาบรรจบกับถนนหมายเลข5ที่เมืองศรีโสภณกลับสู่ด่านปอยเปต


จากเมืองเสียมเรียบเราใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมงเศษๆก็เดินทางมาถึงยังด่านปอยเปต


จากนั้นทำการผ่านขั้นตอนการตรวจสอบหนังสือเดินทางจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกัมพูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้วกล่าวอำลากับคุณเม้งและไกด์เรด สมุทรเดินข้ามสะพานคลองลึกกลับเข้ามายังฝั่งไทย


เดินช้อบปิ้งในตลาดโรงเกลือเป็นตลาดชายแดนที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดมีสินค้านานาชนิดให้เลือกซื้ออย่างจุใจพ่อค้าแม่ขายส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชาแต่พูดไทยได้คล่องแคล่วในวันเสาร์-อาทิตย์ตลาดโรงเกลือจะคับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวเดินทางมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันทำให้เศรษฐกิจเงินทองสะพัดวันละหลายล้านบาทเราเลือกซื้อสินค้ากันคนละชิ้นสองชิ้น


 จากนั้นก็เดินมาใช้บริการของรถบ่อนซึ่งจอดอยู่บริเวณลานจอดรถทัวร์ของบ่อนคาสิโนในอัตราค่าบริการคนละ100บาทเดินทางกลับสู่สวนลุมพินีโดยสวัสดิภาพ.
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.idotravellers.com/